ดิฉันชื่อ พัชณี เปล่งสันเทียะ ปีนี้อายุ 43 ปี ฉันเคยทำงานในร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง และเคยเป็นพนักงานขายในซูเปอร์มาร์เก็ตด้วย งานเหล่านี้ล้วนต้องยืนเป็นเวลานาน บวกกับปัญหาน้ำหนักตัว ส่งผลให้ฉันต้องทนทุกข์กับอาการปวดขาและปวดเข่าอยู่เสมอ แม้ว่าฉันจะลองกินยาแก้ปวดแต่มันก็ช่วยบรรเทาอาการได้เพียงเล็กน้อย ความเจ็บปวดยังคงรุนแรงเหมือนเดิม เพื่อรับมือกับความเจ็บปวดที่รุนแรง ฉันต้องไปพบแพทย์เกือบทุกเดือนเพื่อฉีดยาแก้ปวดชนิดรุนแรงเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดชั่วคราว อาการปวดเข่าไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ชีวิตประจำวันของฉันเท่านั้น แต่ยังสร้างความไม่สะดวกในหลาย ๆ ด้าน เช่น ทุกครั้งที่ฉันเตรียมอาหารทั้งสามมื้อให้ครอบครัว ฉันต้องนั่งทำ เพราะการยืนนาน ๆ ทำให้รู้สึกปวดอย่างรุนแรง เวลาโดยสารรถไฟฟ้า BTS ในกรุงเทพฯ ฉันยืนได้นานสุดแค่ 5 นาทีเท่านั้น เมื่อยืนไม่ไหว ฉันต้องลงจากรถไฟทุก 2 สถานีเพื่อพัก จากนั้นรอรถไฟขบวนถัดไป โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนมักต้องรอหลายขบวนถึงจะได้ขึ้นรถ ทำให้ทุกครั้งที่ออกจากบ้านต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ บ่อยครั้งที่ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเท่าตัวเลย

ในปี 2014 ระหว่างทำการตรวจสุขภาพทั่วไป ฉันถูกวินิจฉัยว่ามีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ แพทย์จ่ายยาให้ฉันทาน ฉันทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี แต่โรคก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นอย่างชัดเจนเลย ต่อมาในปี 2019 ฉันตัดสินใจไปโรงพยาบาลแห่งใหม่เพื่อรักษาต่อ หลังจากรับการรักษาด้วยยาหนึ่งปี แพทย์แนะนำให้ฉันเข้ารับการผ่าตัดเพื่อตัดต่อมไทรอยด์ออก ฉันจึงเข้ารับการผ่าตัดในปี 2020 เมื่อถึงปี 2021ตอนฉันอายุ 40 ปี แพทย์พบว่าฉันป่วยเป็นโรคหัวใจ ซึ่งทำให้ฉันกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสุขภาพที่อาจทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรืออาจเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ ในตอนนั้นลูกของฉันยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ในฐานะแม่ ฉันรู้สึกกังวลและเครียดอย่างมาก ในปีเดียวกันนั้น ฉันเริ่มมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ปวดประจำเดือนจะปวดยาวนานถึง 3-4 วัน และต้องใช้ยาแก้ปวดชนิดที่แรงที่สุดจึงจะช่วยบรรเทาได้เล็กน้อย ทุกครั้งที่ปวดประจำเดือนฉันแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนอยู่บนเตียง ความเจ็บปวดของฉันหากเต็ม 10 อยู่ที่ระดับ 8 มันทรมานมากจนฉันแทบจะทนไม่ไหว

เนื่องจากฉันเป็นคนคิดมากเกินไปและชอบบ่นไม่หยุด ลูก ๆ จึงไม่ค่อยอยากฟังฉันพูด ในปี 2015 ตอนที่ลูกสาวของฉันอายุ 13 ปี เพราะทนฟังฉันบ่นไม่ไหวเธอจึงหนีไปอยู่บ้านยายโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับฉันเลย ความวิตกกังวลและความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของฉันยังสร้างความกดดันทางจิตใจอย่างมหาศาลในชีวิตประจำวัน อาการไม่สบายทางร่างกายยิ่งทำให้อารมณ์ของฉันแย่ลง และส่งผลต่อความสัมพันธ์กับครอบครัว ทำให้เกิดวงจรที่เลวร้าย ฉันรู้สึกหมดหนทางอย่างมาก

จนกระทั่งช่วงต้นปี 2023 ขณะที่ฉันกำลังเลื่อนดู Facebook ฉันบังเอิญเห็นโฆษณาของ “สถานปฏิบัติธรรมโพธิ” เขียนว่า “สุขภาพดีมีความสุข” นี่คือคำตอบที่ฉันตามหามาตลอด! หัวใจของฉันพลันเต็มไปด้วยความหวัง ฉันจึงไม่รอช้า รีบเดินทางไปที่สถานปฏิบัติธรรมโพธิกรุงเทพฯ ทันที เมื่อมาถึงฉันรู้สึกถึงความเงียบสงบที่แสนสบาย ประจวบกับมีคลาสเรียนที่กำลังจะเริ่มพอดี ฉันจึงลงทะเบียนเรียนคลาสกำลังภายในปากว้าพื้นฐาน 7 วันทันที หลังจากคลาสเรียนจบลง ฉันก็ยังคงฝึกกำลังภายในปากว้าต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปหนึ่งเดือน การเปลี่ยนแปลงแรกที่ฉันสัมผัสได้คือ ฉันไม่ปวดประจำเดือนอีกเลย! จนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 18 เดือนแล้วที่ฉันไม่มีอาการปวดประจำเดือนเลย! สิ่งนี้ทำให้ฉันประหลาดใจอย่างมาก เนื่องจากในแต่ละเดือนฉันไม่ต้องทนทุกข์จากอาการปวดประจำเดือนอีกต่อไป ทำให้คุณภาพชีวิตของฉันดีขึ้นอย่างมาก! ฉันรู้สึกขอบคุณท่านปรมาจารย์จินโพธิที่ถ่ายทอดวิชากำลังภายในปากว้า! ในตอนแรกที่ฝึกกำลังภายในปากว้า ฉันเดินได้เพียง 15 นาที แล้วต้องพักถึง 30 นาที แต่หลังจากฝึกอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 6 เดือน ความอดทนของฉันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนตอนนี้ฉันสามารถเดินได้ต่อเนื่อง 30 นาที และพักเพียง 15 นาทีก็สามารถฝึกต่อได้แล้ว

หลังจากจบคลาสเรียนกำลังภายในปากว้าพื้นฐานแล้ว อาจารย์ที่สถานปฏิบัติธรรมและเพื่อน ๆ ที่มาปฏิบัติธรรมต่างก็สนับสนุนให้ฉันสมัครเข้าคลาสเรียนปฏิบัติธรรมต่อ แต่อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่คิดถึงระยะทางจากบ้านมาที่สถานปฏิบัติธรรมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ฉันก็รู้สึกลังเลและมักจะเลื่อนการสมัครออกไป ฉันเพียงแค่เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในกิจกรรมที่สถานปฏิบัติธรรมจัดขึ้น ทุกครั้งที่เข้าร่วมกิจกรรมและได้ฟังเรื่องราวการแบ่งปันประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่น ๆ เกี่ยวกับ “วิชามหารัศมี” ของท่านปรมาจารย์จินโพธิ ซึ่งช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้กับหลาย ๆ คน ฉันก็เต็มไปด้วยความหวัง ดังนั้น ในเดือนกันยายนปี 2024 ฉันจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมคลาสลดความเครียด 7 วัน ซึ่งเป็นครั้งที่สองที่ฉันได้เข้าร่วมคลาสเรียนการปฏิบัติธรรมโพธิ

ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 7 วันกับคลาสเรียนวันละ 3 ชั่วโมงครึ่งนี้ ฉันได้ฝึกวิธีปฏิบัติธรรมที่ถ่ายทอดโดยท่านปรมาจารย์จินโพธิ ได้รับพรแห่งพลัง และรับฟังคำสอนจากท่านปรมาจารย์ แม้ว่าการฝึก “วิชามหารัศมี” จะเป็นความท้าทายสำหรับฉัน เพราะต้องฝึกในท่ายืน ครั้งแรกที่ฝึก “มหารัศมี” สองรอบ (ประมาณ 60 นาที) ฉันจำเป็นต้องนั่งพัก 3-4 ครั้ง แต่เมื่อถึงวันที่ 7 ฉันสามารถฝึกสองรอบได้โดยพักเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น นี่เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่สำหรับฉัน! ทำให้ฉันรู้สึกว่าความอดทนและพละกำลังของฉันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างช่วงคลาสเรียน ฉันสังเกตว่าตอนโดยสารรถไฟฟ้า BTS ฉันสามารถยืนได้นานถึง 10-15 นาที สำหรับคนอื่นอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับฉัน นี่คือความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่! พร้อมกับอาการเจ็บเข่าที่บรรเทาลง ตอนนี้ฉันสามารถทำอาหารสามมื้อได้โดยไม่ต้องนั่งทำแล้ว!

นอกจากนี้ การเข้าร่วมคลาสลดความเครียดครั้งนี้ ฉันยังได้รับสิ่งที่น่าประหลาดใจเกินคาดอีกด้วย ลูกของฉันบอกว่าฉันอารมณ์ดีขึ้น! ลูกชายของฉันพูดว่า ทุกวันหลังจากที่ฉันกลับบ้าน ฉันไม่บ่นเขาอีกแล้ว หลังจากจบคลาสเรียนปฏิบัติธรรมนี้ อารมณ์ของฉันสงบมากขึ้น ความเครียดลดลงอย่างเห็นได้ชัด และความกังวลใจก็น้อยลงไปด้วย ด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย น้ำเสียงของฉันก็เปลี่ยนไปอ่อนโยนขึ้นโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่บ่นลูกอีกต่อไป

ฉันขอขอบพระคุณท่านปรมาจารย์จินโพธิที่ถ่ายทอดวิชาการปฏิบัติธรรม ซึ่งทำให้ฉันมีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น! ฉันเสียดายจริง ๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมคลาสปฏิบัติธรรมให้เร็วกว่านี้! เพื่อสุขภาพของฉันเอง และเพื่อความสุขของครอบครัว ฉันตัดสินใจว่าจะยืนหยัดฝึกปฏิบัติธรรมต่อ! ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ที่ทำให้ฉันมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขมากยิ่งขึ้นค่ะ!


(หมายเหตุ: ผลลัพธ์จากการปฏิบัติธรรมมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)