เทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เรา จังหวะชีวิตจึงเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกวี่วัน และมีโอกาสในการออกกำลังกายน้อยลงเรื่อย ๆ มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเหนื่อยล้าก่อนวัยอันควรและภาวะพร่องสุขภาพ ปรมาจารย์จินโพธิได้สอนวิธีฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงในการใช้ชีวิตที่ต้องพบกับความตึงเครียดด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างง่าย ๆ

สวัสดี! อาจารย์เชื่อว่าทุกคนรู้จักการปฏิบัติธรรมโพธิ เพราะวิธีการปฏิบัติธรรมโพธิที่นำสุขภาพและความสุขมาให้คุณได้ สังคมในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากมีคอมพิวเตอร์ ทุกคนไม่ต้องออกไปไหนก็สามารถรู้ข่าวสารมากมายจากทั่วทุกมุมโลก แม้แต่นักเรียนเขียนการบ้านก็ยังสามารถทำได้บนอินเทอร์เน็ตเลย เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น สิ่งที่เราประหยัดไปคืออะไร? ก็คือการใช้แรงกาย แบบนี้ก็ดีอย่างเสียอย่าง เพราะยิ่งเทคโนโลยีพัฒนามากเท่าไร ผู้คนก็จะเคลื่อนไหวน้อยลงเท่านั้น ก็เหมือนกับคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หนึ่งคนต่อคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง ไม่ต้องเต้นหน้าคอมพิวเตอร์ ใช่ไหม ไม่ต้องชกต่อยกับคอมพิวเตอร์งานหลายอย่างก็ทำเสร็จแล้ว คนคนเดียวทำงานแทนหลายคนได้ แบบนี้มันดีก็จริง แต่ร่างกายของเราก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ ด้วย

สุขภาพที่แข็งแรงหนีไม่พ้นการออกกำลังกายและอารมณ์เชิงบวก

คนกับคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยกัน คุณว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย? ถ้าบางคน ไม่เคยทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ อาจารย์ขอเตือนทุกคนหน่อย บางคนดูละครสนุก ๆ ก็จะดูติดต่อกันจนจบ 20 ตอนเลย แบบนี้จะทำให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อย แม้แต่ล้มป่วยหนักได้ หนักยิ่งกว่าคนในละครเสียอีก ขณะเดียวกันคนที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน หน้าจอนั้นข้างในไม่มีเรื่องอะไรเป็นข้อมูลทั้งหมด มนุษย์และเครื่องจักรคุยกัน คุณพิมพ์เลขหกตัวเดียวก็ปรากฏเลขหกตัวเดียวขึ้นมา พิมพ์เลขแปดตัวเดียวก็ปรากฏเลขแปดตัวเดียว ที่จริงน่าเบื่อมาก ถ้าเป็นแบบนี้ในระยะยาวพวกเราไม่ต้องพูดเรื่องรังสีคอมพิวเตอร์ที่ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์เลย งานและการกระทำที่ดูเหมือนน่าเบื่อนี้ ถ้าวันหนึ่งทำห้าชั่วโมงเราจะมีอาการเมื่อยล้าทางสายตาไหม? ตอนเราดูละครเพราะมีเนื้อเรื่อง ตัวละคร ภาพประกอบ เพลง ดูไปหลายตอนถึงจะรู้สึกเหนื่อย แต่เวลาที่เราทำงานกับคอมพิวเตอร์ที่น่าเบื่อ ก็จะเหนื่อยจะล้มป่วยได้ง่ายและเร็วมาก เพราะสิ่งที่กระตุ้นเป็นอย่างแรกคือเส้นประสาทสมอง นอกจากนี้ยังกระทบกับหัวใจ ไต แม้แต่เลือดด้วยอย่างแน่นอน ฉะนั้นผู้ที่รับไม่ไหวก็จะล้มป่วยได้ง่าย

ยิ่งเราใช้แรงกายน้อย ก็ยิ่งทำให้ป่วยได้มากขึ้น อันที่จริงแล้ว หลายคนอยู่ในประเภทที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ที่จีนเรียกสิ่งนี้ว่า “ภาวะพร่องสุขภาพ” ก็คือบางโรคปรากฏให้เห็นไม่ชัดเจนนัก และยังมีบางโรค ที่หมอหรือเครื่องมือในปัจจุบันยังจับได้ไวไม่มากพอ เลยบอกไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่แต่ตัวคุณเองจะรู้สึกได้ว่าไม่สบาย ยกตัวอย่างเช่น บางคนรู้สึกว่าแต่ละวันไม่ค่อยสดชื่น ไม่มีเรี่ยวแรงและรู้สึกหดหู่เล็กน้อย หดหู่ก็คือไม่ค่อยมีความสุข ไม่มีความสุขโดยไร้สาเหตุ อาหารที่ชอบกินในเมื่อก่อน มาวันนี้กลับรู้สึกเฉย ๆ  แต่ก่อนไปเที่ยวกับเพื่อน คุยเล่นกัน มีความสุขมาก ครั้นตอนนี้รู้สึกน่าเบื่อมาก เรื่องที่รู้สึกน่ายินดีในเมื่อก่อน ในวันนี้กลับไม่สนใจ นอกจากนี้ การมองเห็นก็จะลดลง ง่วงง่าย หรือบางครั้งก็โมโหง่าย ปัญหานี้ถือว่าเป็นโรคหรือไม่? ถ้าให้คุณตั้งชื่อว่าอาการแบบนี้คือโรคอะไร ก็อาจจะเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งก็คืออาการของภาวะพร่องสุขภาพ

อารมณ์เชิงบวกจะทำให้คนมีสุขภาพแข็งแรง อารมณ์เชิงลบทำให้คนป่วยได้ ก็เหมือนแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา มีแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า อาจทำให้คนเป็นโรคซึมเศร้าน้อยลงก็ได้ แต่ที่แวนคูเวอร์ในแคนาดา พอถึงฤดูหนาว หิมะตกน้อย ฝนก็จะตกหนักมาก ๆ หลายคนเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่ายเพราะเมื่อมองออกไปก็จะเห็นฝนตกข้างนอก ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทำให้อารมณ์หดหู่ เศร้าง่าย ดังนั้น สิ่งแวดล้อม แสง เสียง และอายุ ล้วนเป็นปัจจัยด้านสุขภาพของผู้คน ถ้าเราอยู่กับคนหนุ่มสาวเยอะหน่อยก็อาจจะสุขภาพดีได้ยิ่งขึ้น อยู่กับผู้สูงอายุ ถ้าเป็นคนที่ไม่มีสมาธิมากพอ ก็จะได้รับผลกระทบจากผู้สูงอายุ ในด้านการเคลื่อนไหวช้า เสียงหัวเราะน้อย ซึ่งส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ง่าย ๆ

สุขภาพที่แข็งแรงหนีไม่พ้นอาหารการกินที่เหมาะสม

สาเหตุของการเกิดโรคมีเยอะมาก ๆ  เมื่อกี้อาจารย์บอกว่าความทันสมัยทำให้เราใช้แรงกายน้อยลง ประหยัดแรงงานและเวลา แต่อาจทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงได้ง่าย และอีกหนึ่งสาเหตุของการเจ็บป่วยก็คืออาหารการกิน โดยเฉพาะหลังจากที่อาจารย์มาถึงอเมริกา ทันทีที่ลงเครื่องปุ๊บ อาจารย์ก็พบว่า ตัวเองจะต้องเงยหน้ามองคนอื่น ที่แท้ตัวเองจัดอยู่ในประเภทคนที่ค่อนข้างตัวเล็ก สำหรับอาหารอเมริกัน อาจารย์ค่อนข้างชอบกินเบอร์เกอร์ แต่พอกินเข้าไปเยอะ ๆ คนกับเบอร์เกอร์ก็ไม่แตกต่างกัน นั่นคืออุดตัน ชาวจีนที่อาศัยอยู่ประเทศแถบตะวันตก บรรพบุรุษโตมากับการกินซุปก๋วยเตี๋ยว นิ่ม ๆ ลื่น ๆ พอมาถึงรุ่นคุณ จู่ ๆ คุณก็เปลี่ยนมากินแป้ง กินเนื้อเป็นก้อน ๆ  อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ได้ อาจารย์อยากแนะนำเพื่อน ๆ ในแถบตะวันตกว่าอย่ากินอาหารที่แคลอรีสูงเยอะเกินไป โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักอิ่มจะอ้วนเอาง่าย ๆ อาหารที่แคลอรีสูงทั้งยังแห้งมากเมื่อกินเข้าไปแล้วแทบจะไม่ย่อยเลย นาน ๆ เข้าร่างกายก็จะดูดซึมโปรตีนและน้ำตาลของมันจนหมด แบบนี้ก็จะล้มป่วยได้ง่ายมาก

ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้เขียนรายงานแบบสำรวจสุขภาพ ได้ผลสรุปว่า: เด็กจีนรุ่นที่สองและสามที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ร่างกายจะค่อนข้างอ้วน เพราะตัวเปรียบเทียบพวกเขาก็คือชาวตะวันตกที่ล้วนแข็งแรงและกำยำ พวกเขารู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่กิน ตัวจะเล็กเกินไป จึงพยายามกินเยอะ ๆ สุดท้ายปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนอ้วน ดังนั้นลูกหลานชาวจีนมีแนวโน้มจะเป็นโรคด้านหัวใจมากที่สุด รองลงมาคือโรคเบาหวาน เพราะกินมากเกินไปทำให้ร่างกายพัง ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราจะส่งผลต่อความรู้สึกการกินของเราด้วย

ยุคสมัยนี้ พอคอมพิวเตอร์และทีวีใช้กันอย่างกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ บางคน ตอนกลางคืนไม่มีอะไรทำก็กินข้าวไปดูทีวีไป อาหารมื้อเดียวกินไปสองชั่วโมง ตอนแรกกินแพนเค้กชิ้นเดียวก็พอแล้ว สรุปกินไปสิบชิ้นก็ไม่อิ่ม แบบนี้ทำให้ตัวเองอ้วนง่ายเป็นพิเศษ ดังนั้นอาจารย์สนับสนุนว่า 1.เวลากินมื้อใหญ่ให้ยืนกิน 2.แนะนำให้ผู้หญิงทุกคน เมื่อเจอของอร่อย คาดเข็มขัดไว้ ส่วนคนที่ค่อนข้างอวบอ้วน ควบคุมปริมาณอาหารไม่ได้ ต้องรัดเข็มขัดเวลากินอาหาร ที่ใช้งานได้เยี่ยมที่สุดคือเข็มขัดลดน้ำหนัก มีเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมเราคิดค้นเข็มขัดยางยืดแบบกว้างขึ้นมา ซึ่งใช้ตอนเดินปากว้าดีมาก คาดไว้ตอนกินข้าว เมื่อก่อนกินสองชาม ตอนนี้แค่ครึ่งชามก็พอ แถมไม่หิว ที่เห็นผลที่สุดก็คือให้คาดเข็มขัดนี้ไว้ตอนนอน พอตื่นมาก็จะพบว่าเอวเล็ก นี่คือวิธีลดน้ำหนักที่ดี

อาจารย์ขอบอกทุกคนอีกว่าถ้าอยากลดน้ำหนักยังมีอีกอย่างคือ การดื่มน้ำ สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อตื่นนอนตอนเช้าคือ ไม่ใช่การไปเข้าห้องน้ำ แต่เป็นการดื่มน้ำแก้วใหญ่สักแก้ว จะเป็นน้ำอุ่นก็ดีหรือน้ำอุณหภูมิห้องก็ได้ แต่ไม่แนะนำให้ตื่นเช้ามาดื่มน้ำเย็น ซึ่งมันจะไปกระตุ้นให้กระเพาะและลำไส้ไวต่อความรู้สึกได้ กลายเป็นอาการแพ้ ชาวจีนชอบดื่มน้ำร้อน แต่น้ำร้อนมากเกินไปก็ไม่ดีต่อร่างกายและกระเพาะอาหารเอามาก ๆ และการดื่มน้ำที่ร้อนมาก ๆ จะเกิดกลิ่นปากได้ง่าย สำหรับคนที่ขับถ่ายไม่ค่อยราบรื่น ดื่มน้ำสักแก้วก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมงในทุก ๆ มื้อ จะช่วยขับถ่ายสิ่งที่กินออกมาได้ง่าย เป็นวิธีที่ดีมาก ๆ หลายคนที่เป็นโรคอ้วน ล้วนเป็นเพราะขับถ่ายไม่ดี ที่หนักคือถ่ายอาทิตย์ละครั้ง แบบนี้สารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายซึ่งร่างกายไม่ควรดูดซึมเข้าไปก็จะถูกดูดซึมอย่างต่อเนื่องในลำไส้ จึงง่ายต่อการเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งชนิดอื่น ๆ สำหรับผู้ที่ท้องผูกขั้นรุนแรงสามารถใส่เกลือลงในน้ำดื่มได้เล็กน้อย ไม่ต้องใส่เยอะ ถ้าดื่มแล้วคันคอ ไอ แสดงว่าใส่เยอะไป ใส่ให้น้อยหน่อยก็พอแล้ว แบบนี้จะเห็นผลดีกว่ายาลดน้ำหนักเกือบทั้งหมด เพราะมันเป็นยาอาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายบ้าง อาจารย์จำได้ว่านิตยสารบางฉบับเคยแนะนำนางแบบอินเตอร์บางคน เพื่อทำให้ตัวเองผอม มีหุ่นดีจึงกินยาลดน้ำหนักเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายกลายเป็นโรคคลั่งผอม (โรคอะนอเร็กเซีย) ก็คือไม่กินข้าวจนสุดท้ายหิวจนตาย นั่นเป็นเรื่องที่โชคร้ายมาก เป็นเพราะทำเกินไป ดังนั้นการกินยาลดน้ำหนักจึงทำร้ายร่างกายได้ง่าย แต่ดื่มน้ำให้พอเหมาะยังได้ ไม่ทำร้ายร่างกายแถมยังช่วยลดน้ำหนักและระบบการขับถ่าย

โรคภัยเริ่มต้นจากปาก ซึ่งโรคบางอย่างที่มาจากการกินก็ร้ายแรงมากเช่นกัน กินเนื้อสัตว์มากเกินไป กินเส้นมากเกินไป และพวกของแห้งและซุปเมื่อกินในอัตราส่วนไม่พอดีก็จะป่วยง่าย หากกินของแห้งเยอะแต่ดื่มน้ำน้อย ข้อแรกทำให้ขับถ่ายลำบาก ย่อยยาก ดังนั้นคนชอบกินของแห้งต้องดื่มน้ำด้วย นอกจากนี้ใครที่เลือกกินแบบสุดโต่ง ก็คือเลือกกินแค่สองสิ่งนี้ อย่างอื่นไม่กิน อันนี้ก็จะทำให้ล้มป่วยง่ายเช่นกัน อาจารย์เคยอ่านรายงานในหนังสือพิมพ์ เด็กสาวอายุ 13 ปีคนหนึ่ง เธอกินแต่ไก่ทอดแบรนด์ดังของอเมริกาเท่านั้น เธอกินเกือบสามครั้งต่อสัปดาห์ กินมาประมาณสามปีเธอก็เป็นโรคร้ายแรง อาจารย์จำได้คร่าว ๆ ว่าเป็นไตหรืออะไรสักอย่าง ดังนั้นผู้ที่เลือกกินแบบสุดโต่งก็ล้มป่วยได้ง่ายเช่นกัน อาจารย์ไม่ได้บอกว่าไก่ทอดไม่ดีต่อร่างกายมนุษย์นะ แต่ที่จะบอกก็คือการกินอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งเยอะเกินไปนั้นไม่ดีต่อร่างกาย บางคนบอกว่ากินแมคโดนัลด์ทำให้อ้วนง่าย งั้นคุณกินซาลาเปาจีนแล้วทำให้อ้วนหรือไม่? ก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน การกินเยอะ ๆ แต่ไม่ดื่มน้ำ แน่นอนว่าถ้าถ่ายไม่ออกก็อ้วน ซึ่งควรควบคุมสัดส่วนให้พอดีกันถึงจะได้ ดังนั้นอาหารทุกอย่างก็จะเป็นแบบนี้

อาจารย์ได้เจอสาวน้อยคนหนึ่ง หน้าตาดีมาก หุ่นสวย แต่มีสิวเต็มหน้าเหมือนลูกฝรั่งไต้หวัน เหมือนเนินเขาเล็ก ๆ ที่ขรุขระ ภายหลังอาจารย์ก็ได้รู้ว่า เธอลดน้ำหนักเพื่อหุ่นที่ดีโดยการกินแต่ผลไม้ไม่กินข้าว อาจารย์คิดว่าสิวบนใบหน้าของเธอคงมีแต่แมลงอยู่ข้างในเต็มไปหมด เพราะมีน้ำตาลในร่างกายเธอมากเกินไป ดังนั้นการกินแต่ผลไม้ไม่กินข้าวก็เกิดเป็นโรคได้ เพราะบรรพบุรุษของคุณโตมากับการกินข้าว ถึงรุ่นคุณกลับกินแต่ผลไม้ ร่างกายของคุณไม่ชิน ในที่สุดหนอนในผลไม้ย้ายมาอยู่บนหน้า บนผิวของคุณทั้งหมด แล้วแบบนี้จะมีหนอนอยู่ในอวัยวะภายในคุณด้วยหรือเปล่า? ก็ไม่รู้ จะทำให้เกิดโรคเบาหวานหรือไม่? ก็เป็นไปได้นะ

เครื่องดื่มบรรจุขวดที่ผสมไว้แล้ว ความเห็นส่วนตัวของอาจารย์ ไม่ใช่ว่าจะดีต่อสุขภาพไปเสียทั้งหมด ถ้าวันนี้คุณทำธุรกิจนี้อยู่ คุณมักจะหวังให้มันยืดอายุอยู่ได้โดยไม่เสียในช่วงเวลาหนึ่ง ถูกไหม? เครื่องดื่มกระป๋องหลายอย่าง เวลาขายอยู่ในร้านจึงไม่จำเป็นต้องแช่เย็น อาหารบางตัวที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ผลิตในจีนหรือในเวียดนามจะจัดส่งไปขายทั่วโลก ถ้าส่งทางเรือ ตั้งแต่ส่งออกจากโรงงานจนส่งขึ้นเรือต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน หากนำสินค้าขึ้นเรือแล้วออกเดินทางทันทีอย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาสองวัน แบบนี้ก็เท่ากับห้าวันแล้ว ถ้าเกิดส่งจากจีนไปอเมริกา เรือไม่ได้เร็วเหมือนเครื่องบินต้องใช้เวลาสิบกว่าวัน พอถึงอเมริกาก็ต้องโหลดของลงเรือค่อยส่งไปยังบริษัทที่หนึ่ง ซึ่งก็คือผู้ค้ารายที่หนึ่ง แล้วค่อยส่งต่อให้ผู้ค้ารายที่สอง…ดังนั้นเวลาที่เราบริโภคมัน อย่างน้อย ๆ ก็หลังจากนั้นหนึ่งเดือน นี่ยังถือว่าสดใหม่สุด ๆ ปกติจะตั้งไว้ในร้านหนึ่งเดือนไม่มีคนสนใจ ในที่สุดคุณอาจได้มันมาในเดือนที่หก ในนั้นยังคงมีน้ำตาลมีรสชาติ แล้วที่มันไม่เสียเป็นเพราะอะไร? นั่นเป็นเพราะสารกันบูด เราทุกคนต่างรู้ดีว่าถ้ากินสารกันบูดเยอะไป ก็จะไม่ดีต่อร่างกาย ดังน้้นเครื่องดื่มสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องเหล่านั้น ดื่มมากไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายมนุษย์ อาจารย์คิดว่าดื่มนิดหน่อยยังไม่ถือว่าทำร้ายร่างกาย แต่ถ้าดื่มเยอะไปไม่ได้ แต่ผู้คนมักชอบเครื่องดื่มที่มีรสชาติ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ชอบดื่มของเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ รสจัดจ้าน ดังนั้นเด็ก ๆ จึงเป็นโรคนี้ได้ง่าย พอเป็นผู้ใหญ่รู้เรื่องรู้ราวก็รู้จักควบคุมตัวเองไม่ไปซื้อเครื่องดื่มชนิดนี้

อย่างไรเสีย สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพมีหลายด้าน มีทั้งจากการทำงาน ซึ่งมาจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จากอารมณ์และจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม อันที่จริงอารมณ์ไม่ดี อารมณ์ด้านลบ มันร้ายแรงกว่าการกินอาหารที่ไม่เหมาะสมเสียอีก โดยเฉพาะหลังจากที่เราโกรธ ร่างกายของคุณจะมีอาการไม่พึงประสงค์ภายในสามวัน

บางคนบอกว่า บางครั้งที่โมโหเรามักจะไม่โทษตัวเอง กลับไปโทษคนอื่น นั่นเป็นเพราะคุณใจแคบเกินไป! การเป็นคนจะต้องใจกว้างเข้าไว้ แบบนี้ถึงจะอายุยืน ไม่อย่างนั้นพอโมโหขึ้นมาก็จะอกแตกตาย เช่นกรณีบางคนทะเลาะกันจนเป็นลมไปเลย เพราะฉะนั้น อารมณ์ด้านลบรุนแรงยิ่งกว่ายาพิษจริง ๆ

ต้องเข้าใจในหลักเหตุและผล

ดังนั้นอารมณ์จึงสำคัญมาก อยากให้อารมณ์ดีขึ้น ดีขึ้นบ่อย ๆ ทุกคนรู้ไหมว่ามีวิธีไหน? (ผู้ปฏิบัติธรรม: การปฏิบัติธรรมค่ะ/ครับ) การปฏิบัติธรรมนั้นคือวิธีที่ดีที่สุดแน่นอน มีวิธีอื่นอีกไหม? (ผู้ปฏิบัติธรรม: กราบอัษฎางคประดิษฐ์) ยังมีการกราบอัษฎางคประดิษฐ์ด้วย (ผู้ปฏิบัติธรรม: ช่วยเหลือผู้อื่น) ช่วยเหลือผู้อื่นงั้นเหรอ? ทำไมเราต้องไปช่วยคนอื่นด้วยล่ะ? (ผู้ปฏิบัติธรรม: ต้องให้อภัยคนอื่นด้วย) คุณโดนด่าน้อยลงถึงให้อภัยคนอื่นน่ะสิ ถ้าอะไรที่ทำร้ายคุณเพียงเล็กน้อย คุณต้องทำลายเขาแน่นอน อาจารย์จะบอกให้ว่า แค่ต้องเข้าใจในหลักเหตุและผล

เข้าใจเหตุและผลถึงจะเรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นได้ ปกติเวลาเราโกรธ เราก็จะโฟกัสอยู่แค่เรื่องเดียว หลายคนเจอแล้วโกรธจริง ๆ แต่เมื่อคุณนึกย้อนกลับไปในวัยเด็กหรือมองดูเด็กน้อยเหล่านั้น บางครั้งพวกเขาทะเลาะกันแล้วร้องไห้หนักมากเพียงเพราะยางลบก้อนหนึ่ง “ฉันไม่อนุญาตให้เขาใช้ยางลบของฉันลบตัวหนังสือของเขา” ต่อให้จะได้ยางลบคืนมาก็ยังร้องไห้อยู่ เด็กบางคนเห็นอีกคนได้กินลูกอม ตัวเองไม่มีเงินซื้อก็โกรธจนร้องไห้ ตะกละจนร้อง ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่คุณจะร้องไห้ตามไหม? คุณจะคิดว่าเรื่องนี้มันปัญญาอ่อนมากเลย และยังมีบางครั้งเด็กซุกซนนิด ๆ หน่อย ๆ ครั้งนี้คะแนนสอบจาก 90 กลายเป็น 85 แม่โกรธมาก ๆ แบบนี้แสดงว่าแม่ปัญญาอ่อนซะเอง ยังมีบางคนที่พูดว่า: “ลูกของฉันร่าเริงเกินไป เขียนการบ้านเสร็จก็วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว ไม่รู้จักเหนื่อยเอาเสียเลย” ก็เลยโมโหมากถึงขนาดทุบตีลูก แม่คนนี้ปัญญาอ่อน เพราะแม่ท่านนี้ไม่รู้ การที่เด็กคนนี้มีพลังงานเยอะ ในอนาคตถึงจะทำอะไรเป็น สร้างผลงานได้ แต่แม่ดันทำกับลูกแบบนี้ คนเป็นลูกก็อาจจะถูกแม่คนนี้บีบจนแย่เอาได้ จากฮีโร่กลายเป็นไม่มีอะไรเลย เพราะเขามีพลังงานเต็มเปี่ยม พลังงานเต็มเปี่ยมเป็นบุญอย่างหนึ่ง แต่โดนแม่ท่านนั้นทำลาย หากบอกหมอว่า: “เด็กคนนี้ป่วย เพราะเขาวิ่งบ่อย” คุณหมอก็จะพูดคล้อยตามเขาว่า “นี่คือโรคไฮเปอร์” แล้วถ้าลูกคุณไม่ขยับล่ะ? ถ้าเด็กเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ดวงตาสดใส ไม่มีอะไรก็วิ่ง ทั้งหมดก็เป็นเพราะพลังเหลือล้นมากเกินไป นี่เป็นเรื่องที่ดี เป็นการแสดงถึงบุญบารมีที่ดี อาจารย์พูดหลักการข้อนี้อย่างถี่ถ้วน คุณยังจะโมโหที่ลูกของคุณวิ่งเพ่นพ่านอยู่ไหม? ต้องเข้าใจถึงจุดนี้

หลักเหตุและผลเป็นอะไรที่กว้างมาก ก่อนอื่นต้องมีระดับความรู้ความสามารถ มีจิตใจที่ดีงาม มีความเมตตา ไม่ใช่รักแต่ลูกชายลูกสาวของตัวเองหรือสามีและภรรยาของตัวเอง นั่นเรียกว่าความรักเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็ถูกนะ แต่มันจะทำให้คุณโกรธได้ เช่นลูกของคุณถูกเพื่อนร่วมชั้นตี เป็นเพราะความรักจึงอยากออกตัวแทนลูก: “ฉันจะแก้แค้นให้ลูก” เด็กยังไม่ตายจะแก้แค้นอะไร? คุณคิดว่าลูกถูกทุบตี แต่ก็เป็นไปได้ว่าลูกของคุณตีคนอื่นไปเมื่อสองวันก่อน แต่ไม่ได้บอกคุณ ดังนั้น จะต้องเข้าใจในหลักเหตุผล

และยังมีความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกินเงินเดือนกับเจ้านาย บางคนมองเจ้านายตอนแรก ๆ ว่าไม่เลวเลยเป็นเพื่อนกัน แต่ทันทีที่ถูกเจ้านายตำหนิเข้า ก็จะมองเป็นศัตรูทันที ไม่คิดว่าเขาเป็นเพื่อนแล้ว คิดเพียงว่าฉันทำงานให้เขา เอาเงินของเขาก็พอ คนแบบนี้มักไม่ตั้งใจทำงาน ตอนที่ทำงานก็อาจขี้เกียจแอบอู้ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนโดนไล่ออกก็อย่าโทษเจ้านายเด็ดขาด เพราะว่าถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะไล่พวกแอบอู้ ขี้โกงที่รับแต่เงินแต่ไม่ทำงานหรือไม่มีความสามารถในการทำงานเลย เรื่องเหล่านี้ก็คือเหตุและผล คุณต้องเข้าใจเหตุและผลเหล่านี้ อันที่จริงเข้าใจได้ไม่ยากเลย แต่ใช้กับตัวเองยากมาก พอคุณไปฟังคนอื่นพูดแล้วฟังอาจารย์พูด คุณก็คิดว่ามันถูกต้อง แต่พอถึงเวลาใช้กับตัวเอง เมื่อเจ้านายลดตำแหน่งคุณ เมื่อเจ้านายบอกให้ออกไป คุณก็จะเกลียดเจ้านายเข้าไส้

ทุกครั้งที่มาลอสแอนเจลิส อาจารย์ก็จะคุยเรื่องปัญหาการว่างงาน เพราะในเมืองที่ทันสมัย คนส่วนใหญ่พึ่งพาการทำงานในการดำรงชีวิต ซึ่งต้องเข้าใจความสัมพันธ์นี้ให้ชัดเจน อย่างเราที่โตในประเทศจีนก็จะโดนสอนตั้งแต่เด็กว่า: เจ้านายคือศัตรูของเรา สำหรับชาวนาเจ้าของที่ดินก็คือศัตรูเพราะพวกเขากำลังเอาเปรียบชาวนา คนที่จ้างคนได้ล้วนเป็นนายทุน นายทุนเป็นคนเลวทั้งหมด เอาเปรียบเรากันทั้งนั้น แต่พออาจารย์โตมากลับไม่คิดว่าเป็นแบบนั้น นิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน เจ้านายบางคนก็ใจแคบ ใช้มาตรการโหดร้าย มักรังแกผู้อื่นบ่อย ๆ แต่ว่าลูกจ้างที่หมายเอาแค่เงินไม่ทำงานก็มีเยอะมากนะ เลยเป็นการบีบเจ้านายให้ต้องใช้สมองคิดหาวิธีจัดการ อย่าบอกว่าวันนี้คุณทำแปดชั่วโมงก็ให้คุณ 80 หยวน แต่คือในหนึ่งวันคุณทำงานให้เจ้านายไปเท่าไรถึงจะได้รับเงินเท่านี้ โดยเฉพาะคนขายรถ ขายบ้าน จะต้องมีผลงานการขายเท่านั้นถึงจะให้ค่าคอมมิชชั่นคุณ ถ้าคุณขายรถไม่ได้เลยในหนึ่งเดือน ก็ไม่ได้รับเงิน คุณคิดว่ามันสมเหตุสมผลไหม? (ผู้ปฏิบัติธรรม: สมเหตุสมผล) สมเหตุสมผลก็ดีละ

บางคนบอกว่า: “อาจารย์ พูดถึงวิธีไปแดนสุขาวดีให้พวกเราฟังหน่อยสิ!” ไปแดนสุขาวดียังไง หาดูเอาเองเถอะเพราะอาจารย์ก็ยังไม่เคยไป ไม่รู้ว่าจะซื้อตั๋วได้อย่างไร รออาจารย์อายุ 180 ปีแล้วค่อยศึกษาเรื่องนี้นะ ตอนนี้อาจารย์สนแค่ความเป็นจริงบนโลกมนุษย์ แท้จริงแล้วพระพุทธศาสนาบอกวิธีพ้นจากทุกข์พบความสุขให้เรา ง่ายแค่นี้เอง ถ้าว่างงานเป็นทุกข์ไหม? ป่วยล่ะเป็นทุกข์ไหม? รู้สึกกลัวก็ดี เศร้าก็ดี ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีเงินใช้ก็ทุกข์ เข้ากับคนไม่ได้ มืดแปดด้านก็ทุกข์ ถ้าเป็นเซลล์ขายรถผ่านไปสามปียังขายไม่ได้สักคันคุณก็จะอดตาย ถ้าเกิดคุณคนเดียวยังต้องเลี้ยงดูอีกสองคนล่ะ? ทั้งสามคนก็คงอดอาหารตายเพราะคุณ ใช่ไหม?

แล้วเราจะเผชิญปัญหานี้อย่างไร? มีงานก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ รู้สึกขอบคุณเจ้านาย เพราะถ้าเขาไม่จ้างคุณล่ะ? เมื่อคุณกลายเป็นคนว่างงานมาสามปี ก็จะได้รับความเห็นใจจากทุกคน แต่ให้งานคุณตั้งแต่แรกแล้วไม่ตั้งใจทำให้ดี เมื่อว่างงานแล้ว ไม่มีกิน และดูน่าสงสารอีก ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เป็นเพราะไม่เข้าใจในหลักเหตุและผลนั่นเอง ดังนั้นหลังจากที่เราเข้าใจเหตุและผลแล้วก็จะไม่ว่างงานกันง่าย ๆ ต่อให้ว่างงานก็สามารถหางานได้อย่างรวดเร็ว

ละทิ้งการหยิ่งในศักดิ์ศรี ค้นพบความสุขสบาย

เมื่อหลายปีก่อน ที่เมืองปักกิ่งประเทศจีน มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทำงานในโรงงานรัฐวิสาหกิจ เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงผู้นำประเทศจีนในตอนนั้นสนับสนุนให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ทำให้องค์กรในประเทศและโรงงานหลายแห่งกลายเป็นภาคเอกชนทั้งหมด คู่สามีภรรยาที่อยู่ในองค์กรดังกล่าวจึงว่างงานกะทันหัน คิดอยากแขวนคอฆ่าตัวตาย สุดท้ายมีคนแนะนำให้พวกเขามาหาอาจารย์ ——ปัญหายาก ๆ แบบนี้มาหาอาจารย์กันหมด อาจารย์ก็ถามพวกเขาว่า: “ทำไมถึงอยากฆ่าตัวตายล่ะ?” ได้ความว่าสามีเป็นรองผู้จัดการโรงงาน ผู้เป็นภรรยานึกย้อนกลับไปก็รู้สึกมีความสุขมาก คนอื่นส่งของขวัญให้เธออย่างไร เธอดูมีหน้ามีตาขนาดไหน…ก็แค่ของปลอมทางจิตวิญญาณเท่านั้น

อาจารย์พูดว่า: “น่าสงสารจริง ๆ เอาอย่างนี้นะ มีนักเรียนที่เรียนปฏิบัติธรรมกับอาจารย์คนหนึ่งเขาขายผักอยู่ เดือนหนึ่งจ่ายแค่ค่าเช่าแผง 15 หยวน ขนาดประมาณสี่ตารางเมตรถือว่ามีขนาดใหญ่ ทำเลก็ดีด้วย รายได้ต่อปีของเขาตอนนั้นมากกว่า 30,000 หยวน” ในยุคสมัยนั้นเจ้าหน้าที่ระดับกลาง ผู้อำนวยการขึ้นไปของรัฐบาลทำรายได้ต่อปีมากสุดก็ 2,000 หยวน อาจารย์คิดว่าสองสามีภรรยาคู่นี้น่าสงสารเลยแนะนำให้พวกเขาไปขายผักที่นั่น ธุรกิจก็ใช้ได้ แถมไม่ค่อยเหนื่อยด้วย เกษตรกรจะมาส่งผักให้คุณถึงที่แค่จัดการขายให้ออกก็พอแล้ว ภรรยาทำจมูกเบี้ยว เบ้ปากหลังจากที่ได้ยินคำแนะนำของอาจารย์ บอกว่า: “งานต่ำต้อยแบบนั้น ให้ตายฉันก็ไม่ทำหรอก” อาจารย์ถามสามีเขา: “คุณล่ะ?” “เรื่องนี้ผมต้องขอคิดดูก่อนครับ” อาจารย์เลยบอกว่า: “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกคุณรีบเลือกเถอะ!” จากนั้นอาจารย์ก็เดินออกไป

อาจารย์โกรธมากจริง ๆ คนประเภทนี้อยากเป็นแค่ผู้อำนวยการ ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจในหลักเหตุและผล ในฐานะที่คุณเป็นสามี คุณรักลูกคุณไหม? รักภรรยาคุณไหม? ถ้ารักจริง ขอเพียงแค่สามารถเลี้ยงดูพวกเขาได้ไม่ว่าต้องทำอะไรคุณก็จะไปทำ แบบนี้ถึงจะเรียกว่าความรัก การขายผักไม่ได้ไปขโมยสักหน่อย ไม่ได้ไปฆ่าใครด้วย คุณกลับหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่ยอมทำ เพราะความมีหน้ามีตาจอมปลอมกลับยอมให้ตายกันทั้งครอบครัว สุดท้ายโชคร้ายจริง ๆ ที่สองคนนี้ฆ่าตัวตายจริง ๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถรับความจริงได้ รู้สึกใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี

ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา พระศากยมุนีพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า คนเราตั้งแต่เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมก็เพื่อหนีทุกข์พบสุข และขั้นต้นของการฝึกต้องรู้จักยอมรับ เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสิ่งที่ต้องฝึกฝนให้ตลอดก็คือ: ฝึกยังไงให้ไม่มีอัตตา ก็คือไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีหน้ามีตา ไม่มีเกียรติยศและความอัปยศอดสู ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ขัดขวางทุกคน ถ้าทำลายเรื่องนี้ไปได้ คิดแค่ว่าฉันทำอะไรก็ได้ตราบใดที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ นี่ถึงจะเป็นรักแท้ ถึงจะเป็นคนที่มีความภักดีและจริงใจ เป็นคนที่มีความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมีไมตรีจิตกระทำ เรื่องของสองสามีภรรยาที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ไม่เลี้ยงดูลูกแล้ว ใกล้จะหิวตายอยู่แล้วก็ยังไม่ยอมละทิ้งในศักดิ์ศรี แบบนั้นก็ช่วยไม่ได้

ดังนั้น การที่พวกเรามาเรียนรู้กันที่นี่มันมีประโยชน์ต่อเรามาก สาเหตุที่ทำให้เรามีความสุขได้คืออะไรกันแน่? นั่นก็คือเข้าในใจหลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฉลาดขนาดไหน เมื่อเจอปัญหาในชีวิต ก็จะกลัดกลุ้มและโดนผูกมัดค้างไว้แบบนั้น หลุดพ้นไม่ได้ ที่จริงเมื่อมีผู้ที่มีปัญญาสักนิดมาตักเตือนตัวคุณเองก็จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ที่จริงเป็นตัวเราเองที่ทำให้อุปสรรคค้างอยู่ ถูกความมีหน้ามีตา ฐานะ ศักดิ์ศรีจอมปลอมอะไรเหล่านี้ปิดกั้นไว้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมชาวตะวันออกหลายคน บางคนพอค่อย ๆ รู้แจ้งสักหน่อย ก็จะทิ้งเครื่องประดับ เสื้อผ้าแสนหรูในอดีตไปได้ จิตใจสบายและสงบ ไม่ใช่ว่าพอต้องออกจากบ้านก็จะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวซะสวยหยาดเยิ้ม แบบนี้ถึงจะเรียกว่าดีอย่างแท้จริง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ลอสแอนเจลิส อาจารย์ได้ไปบ้านของเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมคนใหม่กับเพื่อนอีกสองคน สองคนนี้คุ้นเคยกับผู้ร่วมปฏิบัติธรรมคนใหม่คนนี้มาก เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว ปกติเวลาจะนัดกันก็จะโทรนัดก่อน แต่วันนั้นเดินผ่านบ้านเขาพอดี หนึ่งในนั้นเลยพูดขึ้นว่า: “อาจารย์ นี่แหละบ้านของเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกับเรา เดี๋ยวพวกผมพาอาจารย์ไปเยี่ยมบ้านเขาดีไหม” อาจารย์ก็บอก: “ได้เลย!”เราไปเคาะประตูโดยไม่แจ้งให้ทราบก่อน พอเคาะประตู เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมคนนี้ยังไม่ได้แต่งตัว ทันทีที่เปิดประตูและเห็นอาจารย์ ก็ปิดประตูดัง “ปัง” อาจารย์ได้ยินเสียงตู้ข้างในห้องล้มลงมาด้วย สิ่งที่ไม่ควรดังก็ดังขึ้นมา เหมือนมีสงครามอยู่ด้านใน ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จู่ ๆ ประตูก็เปิดออก มีหญิงสาวหน้าแดงยืนอยู่ตรงนั้นเธอกล่าวด้วยความเขินอายว่า: “อาจารย์ เชิญเข้ามาค่ะ” ในเวลานี้มองผิวจริงของเธอไม่ชัดเลย

อันที่จริงเมื่อเราไม่เข้าใจหลักในเหตุและผล ก็จะโดนแนวความคิดอันเป็น “อัตตา” ปิดกั้นตัวเอง ตอนที่คุณทำอาหารที่บ้าน ซักเสื้อผ้าคุณก็คือแม่บ้าน ซึ่งการที่คุณซื้อเดรสออกงาน คุณคงไม่เอามาใส่ในขณะทำอาหารหรือตื่นเช้าขึ้นมาพับผ้าห่มหรอก ฉะนั้นแล้ว เมื่อเรากลับถึงบ้านโดยเฉพาะช่วงตื่นนอนเช้าตรู่ถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริง ผู้ปฏิบัติธรรมหลายต่อหลายคน พอได้ปฏิบัติธรรมไปสักพัก ก็ไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว: ใส่เสื้อผ้าอย่างเป็นธรรมชาติมาก สายตาดูสงบไม่เหม่อลอย ต่อให้ไม่แต่งหน้าก็ออกไปเจอผู้คนได้ แบบนี้เรียกว่าสวยจากภายใน

ได้รับสารอาหารจากธรรมชาติ

บางครั้งอาจารย์ก็จะออกไปนั่งบนสนามหญ้าที่มีดินและทรายในสวนสาธารณะ มีลูกศิษย์เดินมาแล้วบอกว่า: อาจารย์ครับ เดี๋ยวผมเอาเสื่อมาปูให้ พื้นมันสกปรกนะครับ” อาจารย์ตอบว่า: “พื้นหญ้าสะอาดขนาดนี้ จะสกปรกได้ยังไง?” “ไม่ได้ครับ ไม่ได้ มันสกปรก” อาจารย์ถาม: “คุณรู้ไหมว่าสกปรกคืออะไร?” เขาไม่รู้ ตอนที่ไปชายหาด ก็พูดอีกว่า: “อาจารย์ครับ เดี๋ยวผมเอาเสื่อมาปูให้นะ ทรายมันสกปรกมากเลยครับ” อาจารย์ตอบว่า: “บนทรายมีอะไรล่ะ? มันสกปรกยังไง?” “ยังไงก็สกปรกครับ” เขาไม่รู้เรื่อง เห็นอะไรก็สกปรกไปหมด อันที่จริงการตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์คือ หลังจากที่เหนื่อยล้าก็มักชอบไปนั่งลงท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไม่ว่าดิน ทราย หรือในน้ำ หากคุณอยากนั่งลงไปนั่นอาจเป็นเพราะร่างกายของคุณต้องการสารประโยชน์ที่อยู่ในนั้น

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าพื้นที่คุ้มครองของทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกาเต็มไปด้วยสัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติ ภูเขาไฟที่นั่นมีควันปะทุออกมาทุก ๆ 2-3 ปี ผงควันจากภูเขาไฟร่วงหล่นบนพื้นเหมือนเป็นปุ๋ยคอก ควันออกมาร้อนระอุมาก พอหล่นลงบนพื้นหญ้า หญ้าก็ถูกเผา แต่หญ้าที่ขึ้นใหม่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากเพราะในเถ้าภูเขาไฟมีแร่ธาตุอยู่ วัวและแกะที่อยู่ใกล้เคียงก็จะแห่เข้ามากินหญ้า นี่คือการตอบสนองตามสัญชาตญาณธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้น หลังจากที่วัวและแกะกินหญ้าเหล่านี้เข้าไปแล้ว พวกมันก็จะแข็งแรงกำยำขึ้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

ทุกคนน่าจะเข้าใจในหลักการที่อาจารย์พูดแล้วนะ นอกจากนี้เรายังพบว่าหลังจากที่ม้า วัว ลา และสัตว์อื่น ๆ เหนื่อยล้าจากการทำงานใช้แรงงาน จะทำอะไร พวกคุณรู้ไหม? พวกมันฉลาดมาก พอเหนื่อยก็จะกลิ้งไปมาบนพื้นดิน ที่เราเรียกว่า “เกลือกกลิ้ง” เวลาที่มันม้วนตัวกลิ้งลงไปทำให้ส่วนหลังแนบกับพื้น ระหว่างที่กลิ้งไปมา กระดูกสันหลังของมันจะถูกดึงออกจากกัน กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว ในขณะเดียวกันก็ได้รับพลังงานจากผืนดิน รวมถึงดินโคลน เม็ดทรายและน้ำด้วย แม้แต่ผิวหนังก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน ก็เหมือนกับตอนที่เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากหลังจากทำงานมาทั้งวัน เมื่อกลับถึงบ้านได้อาบน้ำอุ่นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ความรู้สึกหงุดหงิดที่เคยมีหายไปทันที สัตว์เหล่านั้นกลิ้งไปมาบนพื้นดิน สะบัดขนตามร่างกาย บางตัวส่งเสียงร้องออกมา เหมือนเป็นการบรรเทาความเหนื่อยล้าได้ไปครึ่งหนึ่ง

มนุษย์ต้องการสิ่งนี้หรือไม่? ก็ต้องการเหมือนกัน อย่าคิดว่ามันสกปรก นั่นคือการคืนสู่ธรรมชาติ เป็นการสัมผัสกับสารอาหารจากธรรมชาติ โดยเฉพาะเด็ก ๆ จะรู้สึกได้ เขากลิ้งเล่นไปมาบนพื้น แท้จริงแล้วมันคือการระบายโรค เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติในการได้รับสุขภาพที่ดี แต่พอมาเป็นผู้ใหญ่ ก็จะยึดติดกับฐานะทางสังคมและศักดิ์ศรีเลยจะห่อตัวเองไว้แน่น

อาจารย์ชอบเดินเล่นบนภูเขาคนเดียว หลายสิบปีก่อนที่แวนคูเวอร์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์ไปที่ภูเขาคนเดียว เดิมทีบนภูเขาก็มีน้อยคนแล้ว หมอกหนาไปหมดมองไม่ชัด พอเดิน ๆ ไป อาจารย์มองเห็น “สัตว์ประหลาด” ห่างไปประมาณ 15 เมตร มันเดินเหมือนมนุษย์เลย หลังจากเดินเข้าใกล้อาจารย์มองเห็นหน้าไม่ชัด พอเดินผ่านไปอาจารย์รู้สึกงง ๆ ได้กลิ่นอายของผู้หญิง นี่คือสัตว์ประหลาดสาวงั้นเหรอ? อาจารย์ก็เลยวิ่งตามไปดู เธอหันกลับมามองอาจารย์พอดี อาจารย์ก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นสวมหน้ากากอยู่ เหมือนหน้ากากกรองก๊าซ อาจารย์ก็เลยถามว่า “คุณผู้หญิง ทำผมตกใจหมด ทำไมคุณแต่งตัวแบบนี้ล่ะ? น่ากลัวมาก คุณไม่กลัวเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า: “ฉันไม่ได้เป็นคนสำอางนะแต่ฉันกลัวแดดต่างหาก” อาจารย์บอกว่า: “ตอนเช้าตรู่แบบนี้มีแต่หมอกหนาตึบ มีแดดที่ไหนกัน?” เธอพูดว่า: “ความงามจากผิวที่ขาวเป็นเรื่องที่ผู้หญิงให้ความใส่ใจ คุณไม่เข้าใจหรอก” อาจารย์พูด: “คุณอายที่จะเจอผู้คนเหรอ?” “เปล่า ฉันกลัวโดนแดดเผาหน้าไหม้ต่างหากล่ะ” ผู้หญิงคนนั้นไม่เข้าใจว่าถ้าคนเราไม่โดนแสงแดดก็จะไม่ได้รับสารอาหาร เธอพูดว่า: “พอฉันโดนแดดปุ๊บก็จะแพ้ รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว” อาจารย์พูดว่า: “คุณตากแดดน้อยเกินไป แบบนี้สุขภาพของคุณจะไม่ดีเอานะ” แน่นอนสุดท้าย อาจารย์ก็ได้ช่วยเธอ พอตอนหลังเธอออกไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องใส่หน้ากากอีกแล้ว แค่สวมหมวกใบใหญ่ก็พอ เมื่อคนเราไม่เจอแดด ไม่เจอธรรมชาติเลย ก็จะดูดซึมสารอาหารไม่ได้

ที่แวนคูเวอร์ เรามีเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมชายท่านหนึ่งเจออาจารย์แล้วพูดว่า: “อาจารย์ สองวันมานี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย” อาจารย์ถาม: “คุณเป็นอะไรเหรอ?” “ผมไตสั่นครับ”ตรงแถวเอวนี่แหละกล้ามเนื้อมันสั่นจริง ๆ อาจารย์บอกว่า: “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไหนพูดมา” “โอ๊ย น่าอายจัง อาจารย์อย่าบอกคนอื่นนะ” “โอเค จะไม่บอกใคร” แต่ว่าวันนี้จะบอกพวกคุณเพราะทุกคนไม่ใช่คนนอกละ เขาบอกว่า: “ผมเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำเมื่อคืนก่อน หลังอาบน้ำออกมา เห็นว่าบนเตียงมีผีนอนคว่ำอยู่” แต่พอรอได้สติ ดูอีกทีเป็นภรรยาของเขาเองที่แปะแผ่นมาส์กอยู่บนหน้า ทำเอาเขาตกใจกลัวจนเป็นลมตรงนั้นเลย หลังจากตื่นมาไตก็สั่นอยู่ตลอด อาจารย์จำได้ตอนเด็ก ๆ เคยได้ยินว่าซุนหงอคงพูดว่าปีศาจมีอยู่ทุกที่ น่ากลัวจริง ๆ ดังนั้นเวลาคุณผู้หญิงจะมาส์กหน้าให้ทำตอนที่สามีออกไปข้างนอกนะ และให้อยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย ปิดประตูไว้ หรือไม่ก็ทำสัญลักษณ์เอาไว้ อาจารย์จำได้ว่าบนรถขนส่งสารพิษจะมีรูปหัวกะโหลกติดไว้อยู่ เป็นสัญลักษณ์ว่าเขตอันตราย แบบนี้ก็จะดีหน่อย ทำให้ทุกคนระวังตัวไว้ ทำคนอื่นตกใจตายก็ชดใช้ด้วยชีวิตไม่ได้นะ! โชคดีที่พวกเขามีลูกแล้ว ผู้ชายบางคนตกใจขวัญเสียรอบเดียวก็ไม่สามารถมีลูกได้แล้ว กลายเป็นขันที แล้วลูกของคุณจะตกใจขวัญเสียไหม ก็เป็นได้เช่นเดียวกัน

พูดถึงการคืนสู่วิถีสุขภาพด้วยธรรมชาติ พวกเราต้องหาเวลามาสัมผัสกับธรรมชาติเยอะ ๆ อย่าคิดว่าสกปรกทุกที่ เหยียบผืนทรายก็เพื่อสัมผัสกับทราย ไปเหยียบทะเล ก็เพื่อดูดซับพลังงานของน้ำทะเล ดินบนเสื้อผ้า บนมือของคุณมันไม่ได้สกปรกเลย แต่บางครั้งผู้คนก็ถูกจำกัดด้วยคำบางคำ และสิ่งที่ผู้ค้ากำหนดขึ้น อาจารย์จำได้ว่ามีคนแนะนำวิถีความงามของเธอให้อาจารย์ เพราะที่นี่มีผู้ปฏิบัติธรรมหญิงค่อนข้างเยอะ พวกเขาหยิบขวดน้ำมา ข้างในเป็นสีดำ อาจารย์ถามว่า: “นี่มันโคลนดำเหรอ? เอาไว้ทำอะไรน่ะ?” เขาตอบว่า: “อาจารย์ไม่รู้หรอก นี่มันแพงมากเลยนะ นี่คือโคลนดำอิตาลี” โคลนดำอิตาลี ทั้งโลกมีการผลิตจำนวนมาก ก็แค่บรรจุในขวดอิตาลี ไม่แน่ขวดนั้นอาจจะผลิตในเวียดนามก็ได้ อาจารย์บอกเลยว่า โคลนดำทั้งโลกนี้ นอกจากน้ำมันแล้วมันมีประโยชน์แบบนี้ โดยเฉพาะโคลนดำที่มีอัลคาไลน์สูง ทาบนใบหน้าของคุณ หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก็ล้างออก ผิวคุณจะขาวขึ้น ทำไมล่ะ? ไม่รู้ พอแปะป้ายแบรนด์ให้ดินดำอย่างนี้แล้ว คุณก็จะรู้สึกว่ามันล้ำค่ามาก ขวดหนึ่งสองสามร้อยดอลลาร์ แต่ว่าปกติมือคุณติดดินมาหน่อยคุณภาพดีกว่าโคลนดำอีก แต่คุณล้างมันออกเพราะคิดว่าสกปรก ดังนั้นต้องหาเวลากลับคืนสู่ธรรมชาติ เล่นบนดิน สัมผัสผืนดิน คนสมัยโบราณมักจะให้เด็ก ๆ เล่นโคลน ตอนเด็กเราก็เล่นเหมือนกัน นี่เป็นพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพนะ อย่ามีแนวคิดผิด ๆ อย่างคนสมัยใหม่ โดนคราบอะไรมาก็ล้างออกหมด สุดท้ายทุกคนก็จะเป็นภูมิแพ้ เพราะคุณไม่สัมผัส เมื่อไม่สัมผัสก็ไม่มีภูมิคุ้มกัน คนทุกวันนี้ไม่เป็นฝีดาษเพราะในตัวเราฉีดวัคซีนฝีดาษเข้าไปแล้ว รอยวงกลมบนแขนนั่นแหละนี้ เนื่องจากตัวคุณมีวัคซีนมันถึงกลายเป็นภูมิต้านทานฝีดาษ ก็เลยไม่เป็นอะไร แต่ถ้าคุณไม่เคยได้รับการฉีดก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคฝีดาษได้

หวังว่าทุกท่านจะกลับคืนสู่ธรรมชาติ มีความรู้เกี่ยวกับวิถีแห่งสุขภาพ รวมถึงจิตใจ อาจารย์ไม่รู้ว่าจะบรรยายบทนี้ในคาบเรียนไหน เกือบทุกคาบเรียนจะสอดแทรกส่วนนี้เข้ามา ถ้าคุณสนใจก็ไปฟังได้ อาจารย์เชื่อว่ามันจะช่วยคุณได้ เพราะทุกวันนี้พวกเรามีโอกาสที่จะป่วยได้มาก แต่โอกาสที่จะหายจากโรคน้อยลง ความคิดหลายอย่างไม่ดีต่อสุขภาพ  ไม่ถูกต้อง มักจะคิดว่าพฤติกรรมแบบนั้นก็คือการเจ็บป่วย ความจริงมันอาจตัดสินจากความรู้ที่ผิดพลาดของคุณก็ได้ แนวความคิดหลายอย่างในชีวิตคนเราล้วนเป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้นในมุมของพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า “สรรพสัตว์ทั้งหลายมีการเจ็บป่วย” โดยเฉพาะความไม่ถูกต้องในความคิดและมุมมองของมนุษย์

พวกเรามาเรียนการปฏิบัติธรรมโพธิ คือ การที่เราแชร์สาระสำคัญของโลกที่ผู้ปฏิบัติเข้าใจจากในอดีตแรกสุดจนถึงปัจจุบัน ให้ทุกคนเข้าใจเหตุและผลของธรรมชาติเหล่านี้ เพื่อให้เราได้รับสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง เมื่อเข้าใจหลักเหตุและผลแล้ว สุขภาพของพวกเราก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ก็จะมีปัญญา เพราะหลักเหตุและผลทั้งหมดคือความเข้าใจ พอเข้าใจหนึ่งเรื่องก็จะเข้าใจเรื่องอื่น ๆ ไปโดยธรรมชาติ ดังนั้นหลังจากเข้าใจหลักเหตุผลแล้ว คุณก็จะทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีสภาวะจิตที่แข็งแรง ติดต่อกับผู้คนอย่างสุขภาพดีและมีผลดีต่อการสร้างผลงาน สำหรับผู้ที่ทำงานที่ต้องการแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ มาเรียนปฏิบัติธรรมจะเป็นการดีที่สุด

การปฏิบัติธรรมได้รับพลังงานจากความสงบบริสุทธิ์

ขณะที่ฟังอาจารย์บรรยาย หากคุณผ่อนคลายถึงจะได้รับมากขึ้น บางทีก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โรคของคุณก็กำลังหายไป ยิ่งผ่อนคลาย ยิ่งจริงใจ เวลาปรบมือให้ออกแรงหน่อย อาการป่วยของคุณก็จะหายไปเร็วขึ้น (ท่านปรมาจารย์เคาะบาตร)

โรคต่าง ๆ ของพวกเราเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ อาหารการกิน และแนวความคิดที่ไม่ถูกต้อง ฟังอาจารย์สนทนาและเห็นทุกสิ่งที่อาจารย์ทำ ก็จะทำให้โรคของคุณหายไป คุณถามตัวเองว่า: “โรคของฉันจะเอาอะไรมาหาย?” อาจารย์คิดว่าทั้งหมดทั้งมวล รวมทั้งทอง ทองแดง เหล็ก และหิน จริง ๆ แล้วมันคืออากาศทั้งน้้น ทุกสิ่งล้วนสามารถกลายเป็นอากาศได้ และอากาศก็สามารถกลายเป็นทุกอย่างได้ ซึ่งประกอบกันจากเหตุบุญวาสนา เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านั้นก่อตัวเป็นสสารที่แตกต่างกัน ก่อตัวขึ้นเป็นคนไปจนถึงโรคต่าง ๆ ที่แต่งต่างกัน เมื่อพวกเรากลับคืนสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ขีดสุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่กำหนดขึ้น พวกเราจากที่เป็นสภาวะที่มีตัวตนอยู่จริงก็จะกลายเป็นสภาวะที่ว่างเปล่าไร้ตัวจน

นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน นายฮอว์กิงกล่าวว่า: “บางทีมิติเวลาที่เราอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นมิติเวลาที่ไม่จริง คุณคิดว่ามีจริง แต่แท้จริงแล้วมันไม่มีอยู่จริง” คำพูดประโยคนี้ฟังดูแล้วยากที่จะเข้าใจ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อันที่จริงโลกที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ ก็คือโลกเสมือนชนิดหนึ่ง ไม่ใช่โลกแห่งความจริง ก็เหมือนเมื่อวานคุณทุกข์ แม้ว่าจะทุกข์จนไม่อยากจะอยู่แล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะหายไปในวันนี้ทั้งหมด ดังนั้นหลายความรู้สึกมักเป็นเรื่องไม่จริง รวมทั้งโรคภัยด้วย (ท่านปรมาจารย์เคาะบาตร)

เมื่อได้ยินเสียงเคาะบาตรของอาจารย์ อาการปวดหัว ปวดเอวของคุณกำลังหายไป แม้กระทั่งโรคอื่น ๆ ก็กำลังหายไปเช่นกัน (ท่านปรมาจารย์เคาะบาตร) บางคนอาการป่วยดีขึ้นแล้ว บางคนยังเริ่มอิ่มทิพย์ตั้งแต่ตอนนี้ ยังมีบางคนเมื่อกินข้าวสองชามตอนนี้กลายเป็นแค่ชามหรือครึ่งชาม (ท่านปรมาจารย์เคาะบาตร)

พนมมือ ถู ๆ มือ ถู ๆ หน้า ตอนถูหน้าให้จินตนาการ นึกย้อนไปตอนตัวเองอายุเจ็ดขวบ บางคนกลัว บอกว่า: “ถ้าฉันกลับไปตอนอายุเจ็ดขวบ แล้วตอนนี้หลานฉันจะเรียกฉันว่าอะไรล่ะ?” ไม่ต้องห่วงปัญหานี้ แค่มองดูภายนอกคุณอ่อนวัยไปสิบปี ไม่ผิดรุ่นแน่นอน ใช้นิ้วสางผม สางจากด้านหน้าไปด้านหลัง ทำให้ตัวเองฉลาดขึ้นและเงียบสงบขึ้น ให้สมองของเราใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าทะเลสาบอันใสบริสุทธิ์ มีเพียงความสงบบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะมีปัญญา ตบทั่วร่างกาย ตบเสร็จแล้วให้เก็บพลัง ให้เราลูบเบา ๆ ทั่วร่างกาย เรียกว่า “เก็บ” เหมือนกับปัดหมอกบนร่างกายเราออก

การปฏิบัติธรรมมหัศจรรย์มาก ปกติเราว่ากันว่าต้องออกกำลังกายถึงจะสุขภาพดี แต่การปฏิบัติธรรมแทบไม่ได้เคลื่อนไหว เมื่อก่อนตอนที่อาจารย์มองหาวิธีออกกำลังกาย และหลังจากที่ได้ลองข้อดีของการปฏิบัติธรรมแล้ว อาจารย์ว่ามันเหลือเชื่อจริง ๆ มันเงียบสงบ แต่ปกติในความคิดของพวกเรา ต้องออกกำลังกายถึงจะสร้างพลังงาน ผลิตออกซิเจน สร้างความมีชีวิตชีวาได้ แต่ในแง่ของการได้รับผลที่ดีต่อสุขภาพ ประสบการณ์ของอาจารย์คือ มันอาจจะดีต่อสุขภาพมากกว่าการออกกำลังกาย อาจารย์ไม่ได้ตัดผลลัพธ์ของกีฬาออก อาจารย์หวังให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ทั้งเรื่องงาน เรื่องการออกกำลังกาย ต้องมีทั้งหมด แต่ว่าถ้าอยากจะดียิ่งกว่าเดิม ก็ต้องปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมดูเหมือนเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้เคลื่อนไหว ที่จริงแล้วเราได้รับการมีสุขภาพดีผ่านการเคลื่อนไหวและการจินตนาการที่เรียบง่ายโดยเฉพาะ หรือแม้แต่ไม่ต้องคิดอะไรเลย สำนักแต่ละแห่งก็ใช้วิธีที่ไม่เหมือนกัน บางสำนักคือไม่ต้องคิดอะไรเลย นั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงนี้ มีวิธีการนั่งสมาธิที่ปลอดภัยกว่าเช่น การนับจำนวนลมหายใจ หรือฟังในสิ่งที่ได้ยินค่อยไปคิดทบทวน ของเราจะเป็นการคิดจินตนาการแบบตายตัว ซึ่งเป็นวิธีการฝึกปฏิบัติธรรมโดยใช้จินตนาการเพื่อให้คุณเกิดความคิด

วิธีการทำสมาธิแบบพิเศษนี้อาจารย์คิดมาหลายปีแล้วว่าอะไรคือสาเหตุของผลกระทบนี้? อาจมีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ ความคิดที่เมตตาและความเงียบอย่างที่สุด ให้ตนสงบลง เมื่อคุณไม่เคลื่อนไหว ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่มาจากท้องฟ้า เป็นพลังด้านบวกสุขภาพดี มีประโยชน์ และแม้กระทั่งมีพลังงานทางจิตวิญญาณ การนั่งปฏิบัติธรรมของเรานี้มาจากการสืบทอดจากอินเดียโบราณ ที่จริงในช่วงต้นของประวัติศาสตร์จีน ก็มีการนั่งปฏิบัติธรรมก่อนที่จะมีการจดเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว จนถึงตอนนี้การปฏิบัติธรรมของลัทธิเต๋าของจีน มีหลายสำนักมาก ๆ  ซึ่งมากกว่า 30 กว่าสำนักที่ดีมากเช่นกัน เพียงแค่ว่าในช่วงต่อมาผู้คนทำให้มันเป็นสิ่งงมงาย ที่เรียกว่า “เทพ” บอกว่าถ้าจะฝึกก็ต้องได้กลายเป็นเซียน ฝึกจนเป็นเซียนเป็นเป้าหมายและการแสวงหาสุดท้ายของคนสมัยโบราณที่ค่อนข้างหน้ามืดตามัว ก่อนที่จะฝึกจนเป็นเซียนนั้น จริง ๆ แล้วคือการฝึกเพื่อสุขภาพ หลังจากสุขภาพดีแล้วเขาได้รับความสามารถที่แตกต่างจากคนทั่วไปโดยไม่เจตนา พบว่าความสามารถของตัวเองแตกต่างจากคนธรรมดาแล้ว เมื่อความสามารถของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นแล้ว หรือแม้กระทั่งมีพลังแห่งการรับรู้มากขึ้น ผู้คนก็มักจะถือว่าเขาเป็นเทพเซียน

ในสมัยโบราณ มีการบันทึกของประวัติศาสตร์ว่ามีปรมาจารย์ลัทธิเต๋าท่านหนึ่งฝึกปฏิบัติธรรมในภูเขา มีอยู่วันหนึ่ง เด็กที่รับใช้เขามารายงานว่า: “ท่านปรมาจารย์ มีนายพลส่งคนมาส่งจดหมายบอกว่ามะรืนนี้เขาจะมาเยี่ยมท่าน” ปรมาจารย์พูดว่า: “เอ็งไปเอาขลุ่ยมาที” ลูกศิษย์ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเลยถามว่า “ท่านต้องการเป่าหรือ? ปรมาจารย์ตอบ: “ไม่ใช่ วางไว้ตรงนี้แหละ” อีกสองวันต่อมาท่านแม่ทัพมาเยี่ยม และจุดประสงค์ที่มาก็คือต้องการขลุ่ยนี้ ซึ่งผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้ได้รู้เมื่อสองวันก่อนหน้านี้แล้วเลยเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เขา ทันทีที่เรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนก็พูดว่า “ว้าว เทพจริง ๆ เป็นเทพเซียนที่ฝึกปฏิบัติธรรม!” ดังนั้นเมื่อคนโบราณใช้ภาษาในการอธิบายเรื่องเหล่านี้ ก็จะบอกว่านี่คือเทพเซียน อันที่จริงเป็นเพราะว่าคนที่ปฏิบัติธรรมจะมีความรู้สึกตอบสนองที่แข็งแกร่งกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม

เหมือนกับพวกเราที่นี่ มีคนที่ปฏิบัติจนรู้สึกเช่นนั้นหลายคนแล้ว หลายคนมักมีจิตสัมผัส ดังนั้นวิธีนี้เลยพิเศษมาก ๆ เมื่ออยู่ในความเงียบเขาจะได้รับพลังงานหนึ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ตลอดจนพลังงานในด้านต่าง ๆ หลังจากเกิดปัญญาแล้ว เวลาที่ทำสิ่งมากมายก็จะต่างจากตัวเองในอดีต การปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับเป็นอย่างมาก พระศากยมุนีพุทธเจ้าผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา ในสมัยหนุ่ม ๆ ท่านยังไปนั่งสมาธิบนภูเขา ท่านออกจากบ้านทำไม? เพราะในบ้านนั้นวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นภรรยา ลูก หรือเพื่อนบ้านต่างก็มาหาพระองค์ได้ตลอดเวลาแล้วส่งผลกระทบถึงพระองค์ทำให้ไม่สามารถสงบลงได้ ท่านจึงไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักและมีคนน้อย ทำเพียงอย่างเดียว นั่นคือการนั่งสมาธิ แบบนี้ถึงจะสามารถทำให้ตัวเองเข้าสู่สภาวะที่สงบมากขึ้นได้ และพระองค์ก็ทรงตรัสรู้หลังจากที่นั่งสมาธิได้เจ็ดแปดปี เกิดมหาปัญญาแล้ว และกลายเป็นพระพุทธเจ้าที่เราเรียกขานกัน ซึ่งนี่ก็คือขั้นตอนการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างคร่าว ๆ

ทุกท่านที่นั่งอยู่ มีไหมที่หลังจากมาปฏิบัติธรรมที่นี่แล้วร่างกายของท่านเปลี่ยนไปมาก? (ผู้ปฏิบัติธรรม: มี) มี ตัวอาจารย์เองเป็นผู้ได้รับประโยชน์คนแรก ตอนเด็ก ๆ สุขภาพร่างกายอาจารย์แย่มาก การรักษาทางการแพทย์ช่วยไม่ได้ แต่ก็เพราะบุญวาสนาที่ทำให้ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ อาจารย์ได้พบกับท่านปรมาจารย์ของตัวเอง ท่านได้มอบวิธีปฏิบัติกับอาจารย์มา อาจารย์ก็ตั้งใจฝึกฝน หลังจากนั้นอาจารย์เลยคิดว่าหลายคนสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี ทุกข์ทรมาน โศกเศร้าอยู่กับความเจ็บไข้ได้ป่วย อาจารย์เลยตัดสินใจว่าจะส่งต่อวิธีการนี้ให้กับผู้ที่ต้องการ ก็เลยเริ่มเผยแพร่วิชาความรู้ ดังนั้น หลังจากที่พวกคุณมาก็จะได้รับประโยชน์ พวกคุณเรียนสะดวกกว่าสมัยที่อาจารย์เรียนมาก วิชาที่ส่งต่อให้คุณนั้นได้ผ่านการสรุปและกลั่นกรองจากตัวอาจารย์แล้ว สิ่งที่พวกคุณได้รับคือสิ่งที่ดีที่สุดและง่ายมากที่สุด หมั่นฝึกฝน สักวันอาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้า คุณก็จะรู้แจ้งแล้ว อาจารย์คิดว่า ขอเพียงแค่พวกเราตั้งใจปฏิบัติ ไม่แน่อาจรู้แจ้ง บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้ในสักวันหนึ่ง (ผู้ปฏิบัติธรรม: สาธุ) ตอนนี้บอกว่าคุณก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้ คุณฟังแล้วรู้สึกว่าเหลือเชื่อ แต่หมั่นฝึกปฏิบัติธรรมแล้วคุณจะสามารถบรรลุธรรมได้ในสักวันหนึ่ง กลายเป็นผู้มีปัญญา

——ปรมาจารย์จินโพธิ การบรรยายธรรมที่ลอสแอนเจลิส ปี 2013