ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์ เมื่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลง อาการที่บ่งบอกอย่างชัดเจนที่สุดคือร่างกายจะมีความอ่อนไหวและเปราะบาง การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในสภาพแวดล้อมภายนอกก็อาจทำให้ร่างกายไม่สบายได้ ตัวอย่างเช่น เป็นหวัดง่าย เหนื่อยล้า เป็นภูมิแพ้ แผลร้อนในในช่องปาก กระเพาะอาหารอ่อนแอ บาดแผลติดเชื้อ เป็นต้น

ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอในระยะยาวยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะว่าโดยปกติร่างกายของมนุษย์นั้นจะมีการสร้างเซลล์ที่ผิดปกติขึ้นทุกวัน รวมถึงเซลล์มะเร็งด้วย ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจะสามารถตรวจพบความผิดปกติและกำจัดเซลล์เหล่านั้นออกจากร่างกายได้อย่างทันท่วงที แต่เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำก็อาจปล่อยให้ “ปลาเล็ดลอดผ่านอวน” ไปได้ ทำให้เซลล์มะเร็งมีโอกาสเติบโตและขยายพันธุ์ต่อไป

ภูมิคุ้มกันแข็งแรงเกินไปก็ไม่ดีใช่ไหม?

มีคนมักกล่าวว่าการทำงานของภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเกินไปก็ไม่ดี เนื่องจากจะเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองได้ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคภูมิแพ้ตัวเองที่เกิดจากการทำงานของภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเกินไป กระทั่งทำลายเนื้อเยื่อของตัวเองเพราะคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม

โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนว่าโรคเหล่านี้จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากเกินไป แต่ที่จริงสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน กล่าวคือ ไม่ใช่เพราะ “กองทัพภูมิคุ้มกัน” จงใจทำลายมนุษย์เรา แต่เนื่องจาก “ฝ่ายคุ้มกัน” มีการจัดการที่ไม่ดี “กองทัพภูมิคุ้มกัน” จึงได้รับอนุญาตให้ทำลายพวกเดียวกันได้ หากสถานการณ์นี้ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีก็จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ กระทั่งอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นตราบใดที่รักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะมั่นใจได้ว่าการทำงานของภูมิคุ้มกันมีเสถียรภาพและปกป้องสุขภาพของมนุษย์ได้

การกำเนิดขึ้นของโรคระบาดคือบททดสอบภูมิคุ้มกันโดยตรง

ขณะนี้ไวรัสโคโรน่า (COVID-19) กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรุนแรง จากข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ปีค.ศ.2020 อายุเฉลี่ยของผู้ติดเชื้ออยู่ที่ประมาณ 51 ปี โดยในผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่ไม่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดคือในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 80 ปี จะเห็นได้ว่าระดับความรุนแรงของโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่นั้นเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันของมนุษย์โดยตรง

องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยความจริงที่น่ากังวลในปี 2019 เกี่ยวกับ (โลกในภาวะวิกฤต) โลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรคติดต่อเพิ่มขึ้น โอกาสในการเกิดโรคระบาดไปทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งโรค ไข้หวัดใหญ่ โรคเมอร์ส (MERS) โรคไวรัสอีโบลา (หรือที่รู้จักในชื่อ Ebola Virus) ไวรัสซิกา (หรือที่รู้จักในชื่อ Zika Virus ) กาฬโรคและโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ได้คุกคามสุขภาพและชีวิตของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน

การปฏิบัติธรรมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกัน

การแพทย์แผนจีนเชื่อว่า “โรคทั้งหลายเกิดจากลมปราณ (ชี่)” และ “เมื่อมีลมปราณต้านทานโรคอยู่ภายใน โรคร้ายก็ทำอะไรไม่ได้” เมื่อลมปราณต้านทานโรคของร่างกายมีไม่เพียงพอหรือกลไกลมปราณไม่ราบรื่น มันก็จะนำไปสู่ความไม่ลงรอยกันของลมปราณและเลือด ความไม่สมดุลของหยินและหยาง ความไม่สมดุลของธาตุทั้งห้า ฯลฯ ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงไปตามธรรมชาติ

ผลลัพธ์โดยตรงของการปฏิบัติธรรมที่เราจะได้รับ คือ บรรเทาความกดดันทางจิตใจและคลายความตึงเครียด ความหงุดหงิด ความวิตกกังวล ความกลัว ความหดหู่ใจ และอารมณ์ที่ไม่สบายใจอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีผลในการทะลวงเส้นลมปราณ เลือดลมไหลเวียนดี ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ และขจัดพลังงานด้านลบจากภายในสู่ภายนอก ในขณะเดียวกัน ยังสามารถสื่อสารกับพลังงานแห่งจักรวาล ช่วยให้ร่างกายของมนุษย์เราเติมเต็มลมปราณต้านทานโรคอย่างรวดเร็ว ปรับเลือดลม และช่วยบำรุงอวัยวะภายใน สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับปรุงร่างกายได้เป็นอย่างมาก เพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี

เมื่อเผชิญกับโรคระบาดต่าง ๆ ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เราป้องกันตัวเองอย่างดีแล้ว การปฏิบัติธรรมมากขึ้นทุกวันไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเท่านั้น แต่ยังปรับความต้านทานของร่างกายต่อปัจจัยภายนอกที่ไม่พึงประสงค์ได้ ยังช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ช่วยเพิ่มสมาธิ ไม่ตื่นตระหนก ยกระดับภูมิคุ้มกันทางจิตใจ ต้านทานต่อการคุกคามของแรงกดดันจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีช่องโหว่ให้โรคภัยจากภายนอกรุกคืบเข้ามาได้อีกด้วย