การกินโลว์คาร์บ (Low Carbohydrate Diet) การกินคีโต (Ketogenic Diet) การดื่มกาแฟกันกระสุน (Bulletproof Coffee); พิลาทิส (Pilates) เดินจ๊อกกิ้ง โยคะร้อน (Bikram Yoga)…เหล่านี้เป็นคำศัพท์ที่คุ้นเคยสำหรับชายและหญิงที่มองหาวิธีลดน้ำหนักหรือวิธีออกกำลังกาย แต่ทำไมคนเราถึงมีความกระตือรือร้นในการลดน้ำหนัก? ทำไมถึงหลุดออกจาก “ความอ้วน” ไม่ได้?

การที่ผู้คนต้องการลดน้ำหนัก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพหรือรูปลักษณ์ 2 อย่างเท่านั้น การที่คนเราอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ นั้นมีหลายพันเหตุผล แต่มีเหตุผลหนึ่งที่อาจแตกต่างออกไปจากที่ผู้คนเคยรับรู้กันมา

ในปีค.ศ.2014 BBC ได้จัดทำสารคดีโดยนักวิทยาศาสตร์ได้เลือกนายแพทย์ฝาแฝด 2 คนมาทำการทดลอง โดยทำการทดลองเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งให้ฝาแฝดหนึ่งในพวกเขากินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตสูงและไขมันต่ำได้อย่างไม่จำกัด เช่น บะหมี่ ข้าวสวย ขนมปัง น้ำตาลทรายขาว และน้ำอัดลม เป็นต้น ในขณะที่ให้ฝาแฝดอีกคนหนึ่งสามารถกินอาหารจำพวกไขมันสูง โปรตีนสูง และคาร์โบไฮเดรตต่ำได้อย่างไม่จำกัด เช่น ชีส สเต๊ก เนื้อไก่ติดหนัง แฮมเบอร์เกอร์ เป็นต้น

คาร์โบไฮเดรตและไขมันทำให้อ้วนได้ง่าย

หลังจากผ่านไป 1 เดือน นายแพทย์ที่กินแต่คาร์โบไฮเดรต ไขมันลดลง 0.5 กิโลกรัมและกล้ามเนื้อลดลง 0.5 กิโลกรัม; นายแพทย์อีกคนที่กินแต่อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไขมันลดไป 1.5 กิโลกรัมและกล้ามเนื้อลดไป 2 กิโลกรัม ที่น่าสนใจคือทั้งสองพี่น้องน้ำหนักไม่ขึ้นเลย ไม่ว่าพวกเขาจะกินแต่อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตหรือเนื้อสัตว์ แม้ว่าจะกินอย่างไม่จำกัดปริมาณก็ตาม ในกรณีเช่นนี้อะไรคือสาเหตุของความอ้วนในคนสมัยใหม่กันแน่?

ในสารคดีเดียวกันนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองกับหนูด้วย ซึ่งเมื่อหนูกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันอย่างไม่จำกัดปริมาณ หนูก็ไม่ได้อ้วนขึ้น และก็ไม่ได้กินอาหารจนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนอาหารที่มีอัตราส่วนเป็นคาร์โบไฮเดรต 50% และไขมัน 50% (เช่น ชีสเค้ก) เจ้าหนูน้อยก็เริ่มกินไม่หยุด แถมกลายเป็นไม่อยากเคลื่อนไหว เซื่องซึม ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในที่สุด นักวิทยาศาสตร์พบว่า เนื่องจากอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 50% และไขมัน 50% นั้นมีรสชาติอร่อยมาก มันไปช่วยกระตุ้นระบบเฮโดนิกส์ในสมอง ทำให้สมองต้องการได้รับความพึงพอใจจากอาหารอย่างต่อเนื่อง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “ความอร่อย” ซึ่งเกิดจากการสมคบคิดกันของคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สูง ทำให้คนเราติดใจและอ้วนขึ้นได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา

แบบไหนถึงเรียกว่าอ้วน?

สาเหตุที่ทำให้อ้วนมีหลายประการ ทำอย่างไรจึงจะลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนจะแก้ปัญหาความทุกข์ทางจิตใจและปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความอ้วน เหล่านี้ล้วนเป็นความต้องการของคนอ้วนทุกคนและเป็นหัวข้อที่น่าค้นคว้าจริง ๆ

มาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไปในการวัดความอ้วนคือ BMI (body mass index) ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่าดัชนีมวลกาย โดยมีวิธีการคำนวณที่เฉพาะเจาะจง นั่นก็คือการนำน้ำหนัก (กิโลกรัม, kg) หารด้วยกำลังสองของความสูง (เมตร, m) ซึ่งก็คือ BMI=น้ำหนัก ÷ ความสูง ÷ ความสูง (kg÷m2)

“ข้อชี้วัดโรคอ้วนแห่งเอเชีย” ที่พัฒนาขึ้นใหม่เสนอว่า จากมาตรฐานโลกที่กำหนดให้ค่าดัชนีมวลกาย 24.9 เป็นค่าขีดจำกัดสูงสุด เห็นได้ชัดว่าสูงเกินไปสำหรับชาวเอเชียที่ตัวเล็ก ในขณะเดียวกันจึงเสนอว่าควรใช้ค่าดัชนีมวลกาย 18.5-22.9 เป็นค่ามาตรฐานของ BMI สำหรับผู้ใหญ่ชาวเอเชีย และเมื่อค่า BMI ≥ 23 แสดงว่ามีน้ำหนักเกิน และเมื่อค่า BMI ≥ 30 แสดงว่ามีรูปร่างอ้วน 

เพื่อน ๆ ผู้อ่าน รีบนำเครื่องคิดเลขออกมาและคำนวณค่า BMI ของคุณดู และติดตามเราเกี่ยวกับหัวข้อความอ้วนในเชิงที่ลึกขึ้นกันเถอะ

ความอ้วนเกิดจากอะไร?

อยากลดน้ำหนักโดยไม่เป็นการทำร้ายร่างกาย เราต้องเริ่มจากการศึกษาต้นเหตุ โดยต้องทำความเข้าใจสาเหตุของความอ้วนก่อน แล้วค่อยใช้ยาที่เหมาะสมในการรักษาที่ต้นเหตุ

เพื่อการวิเคราะห์สาเหตุของความอ้วน นอกเหนือจากเหตุผลที่กล่าวถึงในตอนต้นของบทความนี้แล้วยังอาจมีประเด็นอื่นอีก ดังต่อไปนี้:

1.ปัจจัยทางพันธุกรรม

ร่างกายของบุคคลหนึ่งถูกกำหนดโดยปัจจัยทางพันธุกรรมหลาย ๆ อย่าง เมื่อพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีรูปร่างอ้วน ลูกก็มีโอกาสที่จะมีรูปร่างอ้วนถึง 40% หากทั้งพ่อและแม่มีรูปร่างอ้วนทั้งสองคน ลูกจะมีโอกาสมีรูปร่างอ้วนเพิ่มขึ้นเป็น 70%-80% แท้จริงแล้วรูปร่างอ้วนที่เกิดจาก “การถ่ายทอดทางพันธุกรรม” นั้นเป็นเรื่องที่พบได้ยาก ขณะที่โรคอ้วนอันเกิดจาก “นิสัยการกินผิด ๆ” ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย

2.โครงสร้างอาหารการกินที่ไม่เหมาะสม

บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง ไขมันสูง และโปรตีนสูงโดยที่ไม่มีการควบคุมใด ๆ; การรับประทานอาหารจำพวกเครื่องในสัตว์ ไขมัน และประเภทแป้งในเวลาเดียวกันมากเกินไป; การบริโภคอาหารที่มันเลี่ยนและทานขนมขบเคี้ยวบ่อย ๆ; การกินของหวานมากเกินไปในตอนกลางคืนหรือก่อนเข้านอน; ตลอดจนการดื่มเบียร์เยอะ ๆ เป็นประจำ ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนทำให้อ้วนได้ง่าย

3.ขาดการออกกำลังกาย

เนื่องจากปัจจุบันนี้มีการพัฒนาทางด้านคมนาคม ทำให้คนสมัยใหม่มักจะเดินทางโดยรถยนต์ นอกจากนี้ในการจัดการงานทั่ว ๆ ไปก็ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทุ่นแรงจำนวนมากในการทำงานบ้าน  ส่งผลให้โอกาสในการออกแรงลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากโอกาสในการเผาผลาญแคลอรีมีน้อยลง โอกาสในการเพิ่มแคลอรีแทนที่จะลดลงกลับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะมีรูปร่างอ้วนได้

4. “ใจอิ่ม ตัวอ้วน”

เพื่อบรรเทาความซึมเศร้าและความทุกข์ทางอารมณ์ในจิตใจ คนสมัยใหม่มักใช้ “การกิน” เพื่อระบายและเติมเต็มความว่างเปล่าของอารมณ์ที่เสียไป พฤติกรรมนี้เรียกว่า “ใจอิ่ม ตัวอ้วน” อารมณ์เชิงลบจะทำให้ตับ ม้าม ไต และอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายของมนุษย์ทำงานผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ วิธีการ “กิน” เพื่อคลายความทุกข์นี้ ไม่เพียงแต่แก้ความทุกข์ทางใจไม่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คุณอ้วนขึ้นอีกด้วย

5.ยา

แม้ว่ายาหลายชนิดจะสามารถรักษาโรคบางชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ด้วยเช่นกัน เช่น ยาที่ใช้ในการรักษาโรคจิตเภท , โรคความดันโลหิตสูง และ โรคอื่น ๆ โดยจะส่งผลต่อสมองส่วนไฮโปทาลามัส ทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น หากกินยาเป็นเวลานานก็จะทำให้เป็นโรคอ้วนได้ นอกจากนี้ยาที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจน (เช่น ยาคุมกำเนิด) ก็เพิ่มความอยากอาหารหลังจากกินยาดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนำไปสู่การสะสมของไขมันและเป็นโรคอ้วนในที่สุด

เราไม่อาจละเลยได้เลยว่าในปัจจุบันนี้การปศุสัตว์จำนวนมากใช้อาหารที่มีฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของสัตว์ นอกจากนี้ยังมีเกษตรกรบางส่วนที่ใช้สารกระตุ้นการเจริญเติบโตในกระบวนการปลูกผักและผลไม้อีกด้วย การบริโภคอาหารที่มีฮอร์โมนเหล่านี้เป็นเวลานานจะเป็นการดูดซับฮอร์โมนเหล่านั้นในทางอ้อม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสของความอ้วนอีกด้วย

6.ความตะกละ

ไม่ควบคุมการกิน กินมากเกินไป กินเพื่อความสุข และไม่รู้จักเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เหล่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความอ้วนทั้งสิ้น

ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความอ้วน

ไขมันที่สะสมในร่างกายมากเกินไปไม่เพียงทำให้ร่างกายมีรูปร่างส่วนเกิน แต่ยังทำลายสุขภาพร่างกายด้วย ตัวอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืด ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งบางชนิด เป็นต้น เหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนทั้งสิ้น การวิจัยจำนวนมากคิดว่าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเนื้อเยื่อไขมันในคนอ้วน ทำให้การไหลเวียนของเลือดเร็วขึ้น ภายใต้จังหวะการเต้นของหัวใจในอัตราปกติ ปริมาณเลือดที่ส่งออกจากหัวใจ (ปริมาณเลือดต่อการเต้นของหัวใจ) จะสูงกว่าคนทั่วไปมาก ทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป นาน ๆ เข้าก็นำไปสู่การขยายตัวของหัวใจด้านซ้ายและความดันโลหิตก็เพิ่มขึ้น นอกจากนี้โรคอ้วนอาจทำให้หัวใจห้องบนซ้ายขยายตัว ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงให้หัวใจห้องบนเต้นเร็ว ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เกิดจากหัวใจห้องบนเต้นเร็วอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง ในกรณีที่รุนแรงหากผู้ป่วยไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ 

จากการวิจัยอื่นพบว่า เด็กอ้วนมักเป็นโรคหอบหืดร่วมด้วย เมื่อดัชนี BMI เพิ่มขึ้น อัตราการเป็นโรคหอบหืดในวัยเด็กก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์โดยสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกายืนยันว่า คนอ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งบางชนิดได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ทุก ๆ 15 กิโลกรัมของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในผู้ชาย จะมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งหลอดอาหารเพิ่มขึ้น 52% ความเสี่ยงของมะเร็งต่อมไทรอยด์เพิ่มขึ้น 33% ความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้และมะเร็งไตเพิ่มขึ้น 24% สำหรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 13 กิโลกรัมในผู้หญิง มีความเสี่ยงของมะเร็งมดลูกและมะเร็งถุงน้ำดีเพิ่มขึ้นเกือบ 60% ในขณะที่ความเสี่ยงของมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งไตจะเพิ่มขึ้นประมาณ 51% และ 34% ตามลำดับ

โรคอ้วนอาจนำไปสู่ความไม่สมดุลของการหลั่งฮอร์โมน จากการวิจัยพบว่าโรคอ้วนจะไปลดฮอร์โมนเพศชายและเพิ่มเอสโตรเจนในผู้ชาย; โรคอ้วนทำให้เด็กผู้หญิงเข้าสู่วัยแรกรุ่นได้เร็วขึ้น และเพิ่มอัตราการมีประจำเดือนผิดปกติในผู้หญิง ตลอดจนทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ยากอีกด้วย

การมีน้ำหนักเกิน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกด้อยค่าหรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้าขึ้นในจิตใจของคนที่มีรูปร่างอ้วนอีกด้วย ภายใต้กระแสแห่งยุคที่จำกัดความว่าความผอมเพรียวคือความงาม ทำให้คนอ้วนมักมีความรู้สึกไม่ถูกยอมรับและไม่เป็นที่จดจำ ส่งผลทำให้รู้สึกว่าตนเองด้อยค่าจึงไม่ยอมเข้าสังคมง่าย ๆ สูญเสียความมั่นใจและความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นไป ค่อย ๆ ปิดตัวเอง ไปจนถึงเกิดอาการสติปัญญาเสื่อมถอยและการตอบสนองเฉื่อยชาอันเนื่องมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ

กินยาลดน้ำหนักส่งผลดีไหม?

1.รู้เรื่องยาลดน้ำหนัก

​​โฆษณายาลดน้ำหนักทำออกมาได้มีความน่าสนใจมาก โดยมักจะโน้มน้าวว่าคุณไม่จำเป็นต้องพยายามลดอาหาร ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายจนเหงื่อไหล แค่ทานยาเพียงไม่กี่เม็ดคุณก็สามารถลดน้ำหนักได้ แต่มันเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่?

ไม่ว่าจะกินยาลดน้ำหนักชนิดใด ก็ต้องอยู่ใน 3 แนวทางดังต่อไปนี้เพื่อการลดน้ำหนักให้บรรลุผล:

ข้อที่ 1 ระงับศูนย์กลางในความอยากอาหารของสมอง ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหารและหลีกเลี่ยงการบริโภคแคลอรีที่มากเกินไปได้

ข้อที่ 2 เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการใช้ออกซิเจนในร่างกายจะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต เพื่อลดการสะสมไขมันในร่างกาย

ข้อที่ 3 กระตุ้นลำไส้ เร่งการขับถ่าย และลดระยะเวลาที่อาหารจะอยู่ในทางเดินลำไส้เพื่อลดการดูดซึมสารอาหาร

การใช้ยาลดน้ำหนักเพื่อปรับเปลี่ยนการย่อยอาหารและการขับถ่ายในการทำงานตามปกติของร่างกายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการลดน้ำหนัก แม้ว่าจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างเห็นชัดและทันท่วงที แต่ก็ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ง่าย การรับประทานในระยะยาวไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานตามปกติของร่างกายมนุษย์เราเท่านั้น แต่ยังอาจก่อให้เกิดโรคใหม่ ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นไม่ควรค่าที่จะสนับสนุน

2.การใช้จ่าย

จากการสำรวจการลดน้ำหนักที่ตีพิมพ์โดยนิตยสาร (Reader’s Digest) ของสหรัฐอเมริกา จีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการกินยาลดน้ำหนักสูงที่สุด โดยมี 37% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าพวกเขาเคยกินยาลดน้ำหนัก ด้วยแรงกระตุ้นจากความต้องการทางตลาดที่มีมากและผลกำไรสูง บริษัทยาข้ามชาติหลายแห่งจึงเร่งพัฒนายาลดน้ำหนักชนิดใหม่กันอย่างแข็งขัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เมื่อยาเฟนฟลูรามีนที่ใช้ลดน้ำหนักชนิดใหม่เกิดขึ้นมา ยอดขายประจำปีในตลาดยาลดน้ำหนักทั่วโลกอยู่ที่ไม่กี่ร้อยล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น; ทว่าภายในปีค.ศ.2007 ยอดขายรวมในตลาดยาลดน้ำหนักจากทั่วโลก (รวมถึงอาหารสุขภาพเพื่อลดน้ำหนักอีกหลายชนิด) มีมูลค่าถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ; และในปีค.ศ.2009 กลับมีมูลค่าเกิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ตามรายงานการวิเคราะห์โดย GlobalData ระบุว่าตลาดยาลดน้ำหนักจากทั่วโลกจะเติบโตขึ้นเป็น 8.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปีค.ศ.2022 นี้ 

แม้ว่ายาลดน้ำหนักจะเห็นผลในทันทีและชัดเจน แต่ก็มักจะมีราคาแพงและได้ผลเพียงไม่นาน ทันทีที่หยุดยา น้ำหนักก็จะโยโย่ได้อย่างง่ายดาย บางรายกลับมาอ้วนกว่าก่อนลดน้ำหนักก็มี

3.การตอบสนองต่อยาลดน้ำหนัก

ข้อเท็จจริงมากมายได้พิสูจน์แล้วว่า การกินยาลดน้ำหนักอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น เวียนศีรษะ ปากแห้ง หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ ใจสั่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้อง เป็นต้น ซึ่งต้องได้รับการประเมินอย่างรอบคอบก่อนที่จะกิน

วิธีลดน้ำหนักที่แนะนำโดยปรมาจารย์จินโพธิ

ความรู้เรื่องอาหาร

มนุษย์รับประทานธัญพืชห้าชนิด ผักและผลไม้เป็นอาหารหลัก จึงขอแนะนำให้รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก ส่วนเนื้อสัตว์ไม่ควรเกิน 1/10 ของอาหารแต่ละมื้อ คนทั่วไปอาจคิดว่าการกินเนื้อสัตว์จะได้รับสารอาหารที่เข้มข้นกว่า แต่อาจารย์ไม่คิดอย่างนั้น ธัญพืช ผักและผลไม้อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และที่สำคัญพืชผักยังเป็นอาหารที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าอีกด้วย

ปริมาณอาหาร

การรับประทานอาหารที่ค่อนข้างมากมักเป็นสาเหตุหลักของการมีรูปร่างอ้วน ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารของเราให้ดี

วิธีลดน้ำหนัก

ข้อที่ 1 ดื่มน้ำ

ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงิน ไม่มีผลข้างเคียง และวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการดื่มน้ำ

ตามความเข้าใจของเรา สาเหตุของความอ้วนนั้นมีหลายปัจจัย ส่วนมากเป็นเพราะ “กินเข้าไปง่าย แต่ขับออกยาก” ซึ่งทำให้อาหารเก็บอยู่ในร่างกายนานเกินไป หากคุณดื่มน้ำสักแก้วก่อนทานอาหารทั้งสามมื้อประมาณ 10 นาทีในทุกวัน และอุณหภูมิของน้ำอยู่ที่อุณหภูมิห้อง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความอยากอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ขับถ่ายไม่ค่อยคล่องแนะนำให้ดื่มน้ำ 1 แก้วตอนตื่นนอนยามเช้า หากผู้หญิงอยู่ในช่วงมีประจำเดือนแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น คำแนะนำพิเศษคือถ้าคุณมีอาการท้องผูกอย่างรุนแรง คุณสามารถเติมเกลือ จิ๊กโฉ่ว หรือน้ำส้มสายชูดำลงไปสักเล็กน้อยได้

ข้อที่ 2 อารมณ์ดี

เพื่อรักษาให้มีอารมณ์ที่ดี ก่อนรับประทานอาหารในทุกวันควรกล่าวขอบคุณสำหรับอาหารทั้งสามมื้อ และขอบคุณน้ำทุกแก้วสำหรับการบำรุงร่างกายด้วย การทำแบบนี้จะสามารถช่วยเพิ่มพลังงานที่ปลอดโปร่งและสุขภาพที่ดีได้

ข้อที่ 3 ออกกำลังกาย

อย่าลืมว่าต้องออกกำลังกายต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากกีฬาทั่วไป (เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง เล่นบอล) แล้ว หากสามารถทำร่วมกับการปฏิบัติธรรมโพธิแบบเคลื่อนไหว (เช่น กราบอัษฎางคประดิษฐ์  “กำลังภายในปากว้า” เป็นต้น) ก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก

คำแนะนำพิเศษของ “การกราบอัษฎางคประดิษฐ์” 

หากคุณต้องการมีสุขภาพกายและมีสติปัญญาที่ดี แต่ยังต้องการรักษาส่วนโค้งเว้าของร่างกายให้ดูดีด้วย คุณสามารถใช้วิธีการกราบอัษฎางคประดิษฐ์ได้

การลดน้ำหนักต้องใช้เวลานาน น้อยหน่อยก็ 3 เดือน หรือมากหน่อยก็ 1 ปีขึ้นไป โดยต้องวางแผนตามสถานการณ์และลักษณะงานของคุณ วางแผนชีวิตใหม่ให้ตัวคุณเองก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เริ่มลงมือทำทันที!

วิธีในการลดน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม แนะนำโดยปรมาจารย์จินโพธิ

การกราบอัษฎางคประดิษฐ์

การเคลื่อนไหวด้วยการกราบอัษฎางคประดิษฐ์นั้นเรียนรู้ได้ง่ายและไม่มีข้อจำกัดทางสถานที่ใด ๆ เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านที่สะอาดและอบอุ่นหรือนอกบ้านที่สดชื่นท่ามกลางธรรมชาติก็ได้ เพียงแค่มีพรมรองก็สามารถทำได้แล้ว ในตอนเริ่มต้นทำแต่น้อยก็พอ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด จากระดับผิวเผินไปสู่ระดับลึกขึ้น สะสมทีละน้อย

กราบอัษฎางคประดิษฐ์ด้วยความจริงใจ เมื่อกาย วาจาและใจ ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะสามารถสื่อสารกับพลังงานสูงได้ สามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มการมองเห็นได้ด้วย ไม่เพียงแต่จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและพัฒนาสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังทำให้ผิวเรียบเนียน กระปรี้กระเปร่า สายตามีชีวิตชีวา มีเสน่ห์เพิ่มขึ้น ทำให้มีรอยยิ้มที่สดใสอยู่เสมอ

1. ยืนสงบนิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแยกเท้าทั้งสองข้างออกจากกัน ห่างกันประมาณสี่นิ้ว ลืมตาหรือหลับตาลงเล็กน้อยตามธรรมชาติ

2. ประนมมือไว้ข้างหน้าหน้าอก เหยียดมือทั้งสองข้างออกไปทางด้านข้างลำตัวตามธรรมชาติ วาดมือขึ้นไปโค้งเป็นวงกลมอย่างช้า ๆ แล้วประนมมือเหนือศีรษะ โดยรักษาให้ศีรษะของคุณอยู่นิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ

3. ค่อย ๆ เลื่อนมือที่ประนมอยู่ลงมา ให้นิ้วแตะหน้าผาก ลดลงมายังคาง และลดมายังหน้าอกเบา ๆ จากนั้นก็คุกเข่าลงอย่างช้า ๆ

4. เหยียดมือออกไปหรือผลักมือไปข้างหน้า โน้มตัวลงไป หมอบราบทั้งร่างกายไปกับพื้น

5. พลิกมือขึ้นมา หงายฝ่ามือขึ้น ใช้หน้าผากแตะพื้นสามครั้ง โดยรักษาท่วงท่าให้ร่างกายและข้อศอกทั้งสองข้างราบติดพื้น

6. ยกมือทั้งสองขึ้นเหนือหลังศีรษะโดยประนมนิ้วมือทั้งสองข้างเข้าหากัน วางมือทั้งสองข้างลงไปโดยให้คว่ำฝ่ามือ จากนั้นก็ยืนขึ้น ประนมมือไว้ตรงด้านหน้าของหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ

ตอนที่ทำการกราบอัษฎางคประดิษฐ์ คุณไม่จำเป็นต้องออกแรงใด ๆ ให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาวะที่อ่อนโยน ผ่อนคลาย และสบายตัว ไม่ต้องเร่งความเร็ว ไม่ต้องจดจ่อกับจำนวนครั้ง แต่ให้ปรับเป้าหมายและจำนวนครั้งที่คุณต้องการบรรลุในแต่ละวันตามกำลังกายของคุณ ในแต่ละวันคุณยังสามารถแบ่งทำเป็นช่วง ๆ ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับสภาพจิตใจให้อยู่ในสภาวะของความจริงใจและความสำนึกในพระคุณ หลังจากฝึกปฏิบัติเสร็จแล้วก็ให้โค้งคำนับด้วยความเคารพและสำนึกคุณ ทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย มีความสุขความสำราญ หลังจากทำเสร็จให้ถูมือ ลูบใบหน้า และขยับร่างกายสักหน่อย ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการฝึกแล้ว